วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

บุญข้าวสาก..ของชาวอีสาน


เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๑ ชมรมชาวอีสานล้านช้าง ได้ร่วมกันทำบุญข้าวสาก ตามประเพณีอีสาน ณ คณะ ๑๔ วัดชนะสงคราม บางลำภู กรุงเทพฯ
ตามปกติชมรมชาวอีสานจะทำบุญประจำเดือนทุกเดือน กำหนดทำบุญในวันอาทิตย์ที่ ๒ ของเดือนทุกเดือน แต่เดือนนี้เพื่อให้การทำบุญได้จัดทำพร้อมกับบุญข้าวสาก จึงได้เลื่อนมาทำบุญข้าวสากพร้อมกันในวันนี้
พิธีจะมีการเตรียมอาหาร คาวหวาน ปิ่นโตและกระทงอาหารที่จะนำมาเพื่ออุทิศให้กับบรรพบุรุษ โดยให้ญาติโยมเขียนชื่อบรรพบุรุษ และมีการถวายสลากภัตรให้กับพระภิกษูสามเณร ตามที่ตนจับสลากได้
พิธีเริ่มด้วยการไหว้พระ รับศีล อาราธนาพระธรรม พระสงฆ์สวดอภิธรรม ๗ คัมภีร์ และมาติกาบังสุกุล หลังจากนั้น พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล ถวายสลากภัต จตุปัจจัยเครื่องไทยธรรม ตามลำดับ

มีผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญจำนวน ๓๓ ท่าน และมีเครื่องไทยธรรมจำนวน ๑๒ ชุด และพระภิกษุสามเณรก็จะจับสลากเช่นกัน และให้โยมนำสลากภัตรและปัจจัยถวายแด่พระภิกษุสามเณร ตามที่ตนจับสลากได้
หลังจากนั้น ร่วมกันถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ และสามเณรตามลำดับ ในปีนี้มีชาวอีสานมาร่วมทำบุญกันเป็นจำนวนมาก

พระภิกษุสงฆ์กล่วคำอนุโมทนา และกรวดน้ำอุทิศให้กับบรรพบุรุษและญาติที่ล่วงลับไปแล้ว และช่วงที่พระคุณเจ้าฉันภัตตาหารเพล ญาติโยมได้นำข้าวสากนำไปวาง(ยาย)ตามตนไม้ และบริเวณวัด เพื่ออุทิศให้กับบรรพบุรุษตามประเพณีของชาวอีสาน




ประวัติการทำบุญข้าวสาก
การทำบุญข้าวประดับดินนั้น ชาวบ้านจะนำข้าวปลา อาหาร  คาวหวาน ผลไม้ หมาก พลู บุหรี่ มาห่อด้วยใบตอง และทำเป็นห่อเล็ก ๆ ก่อนจะนำไปวางตามโคนต้นไม้ใหญ่หรือตามพื้นดินบริเวณรอบ ๆ เจดีย์ หรือโบสถ์ โดยการทำบุญข้าวประดับดินนี้ ชาวบ้านเชื่อว่า เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว รวมถึงอุทิศส่วนกุศลให้กับสัตว์นรก หรือเปรต
  
นอกจากนี้ บุญข้าวประดับดิน ยังถือว่าเป็นการให้ทานแก่ผู้ยากไร้รวมทั้งสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ ที่ต้องหิว อดมื้อกินมื้อมาตลอดทั้งปีอีกด้วย เพราะการที่ตั้งอาหารไว้ที่พื้นทำให้สัตว์เหล่านั้นสามารถเข้ามากินอาหารได้อย่างเต็มที่
ความเป็นมาบุญข้าวประดับดิน
มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีเรื่องเล่าไว้ในพระธรรมบทว่า ญาติของพระเจ้าพิมพิสารกินของสงฆ์ เมื่อตายไปจึงไปเกิดในนรก พระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้วไม่ได้อุทิศให้ญาติที่ตายไป พอตกกลางคืนเหล่าญาติของพระเจ้าพิมพิสารที่ตายไปมาปรากฎตัวเปล่งเสียงร้องน่ากลัวบริเวณพระราชนิเวศ รุ่งเช้าพระเจ้าพิมพิสารจึงได้รีบไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์จึงบอกเหตุให้ทราบว่า ญาติที่ไปตกอยู่ในภูมินรก ต้องการได้รับส่วนกุศล จึงได้ก่อเกิดการทำบุญข้าวประดับดินขึ้นมา เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ญาตที่ตายไปแล้ว
พิธีกรรมบุญข้าวประดับดิน
มีดังนี้
1. วันแรม 13 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านจะเตรียมข้าวต้ม ขนม อาหารคาวหวาน หมาก พลู และบุหรี่ไว้ 4 ส่วน 
ส่วนหนึ่งเลี้ยงดูกันภายในครอบครัว
ส่วนที่สองแจกให้ญาติพี่น้อง
ส่วนที่สามอุทิศให้ญาติที่ตายไปแล้ว ญาติโยมจะห่อข้าวน้อย ซึ่งมีวิธีการห่อคือ ใช้ใบตองห่อขนาดเท่าฝ่ามือ ส่วนความยาวนั้นให้ยาวสุดซีกของใบตอง
ส่วนที่สี่นำไปถวายพระสงฆ์  
 
2. วันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านจะไปวัดตั้งแต่เวลาตี 4 เพื่อนำสิ่งของที่เตรียมไว้จัดใส่กระทง หรือเย็บเป็นห่อเหมือนข้าวสากไปวางอุทิศส่วนกุศลตามที่ต่าง ๆ 
ประเพณีคนลาวและไทยอีสาน มีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า กลางคืนของเดือนเก้า หรือ ทำในวันแรมสิบสี่ค่ำ เดือนเก้า เป็นวันที่ประตูนรกเปิด ยมบาลจะปล่อยให้ผีนรกออกมาเยี่ยมญาติในโลกมนุษย์ ในคืนนี้คืนเดียวเท่านั้นในรอบปี

ซึ่งการวางแบบนี้ เรียกว่า การวางห่อข้าวน้อย แต่หากเป็นการนำไปวางในวัด จะเรียกว่า การยาย (วางเป็นระยะ ๆ ) ห่อข้าวน้อย ซึ่งเวลานำไปวางจะพากันไปทำอย่างเงียบ ๆ ไม่มีการตีฆ้อง ตีกลองแต่อย่างใด
 
3. หลังจากวางเสร็จแล้ว ชาวบ้านจะกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหารทำบุญที่วัดอีกทีหนึ่งในตอนเช้า
เมื่อพระสงฆ์ฉันเช้าเสร็จก็จะเทศน์ฉลองบุญข้าวประดับดิน ต่อจากนั้น ชาวบ้านจะนำปัจจัยไทยทานถวายแด่พระสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์ให้พรเสร็จ ชาวบ้านที่มาทำบุญก็จะกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทุก ๆ คน
 
สำหรับอาหารคาวหวานที่ใส่ห่อในการทำบุญข้าวประดับดิน
อาจมีดังนี้
1. ข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือ 1 ก้อน
2. เนื้อปลา เนื้อไก่ หมู และใส่ลงไปเล็กน้อย ถือว่าเป็นอาหารคาว
3. กล้วย น้อยหน่า ฝรั่ง มะละกอ มันแกว อ้อย มะละกอสุก หรือขนมหวานอื่น ๆ ลงไป (ถือเป็นอาหารหวาน)
4. หมากหนึ่งคำ บุหรี่หนึ่งมวน เมี่ยงหนึ่งคำ
 
ชมรมชาวอีสาน นำโดยท่านพระมหาใจ เขมจิตโต (ปธ.๙) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม จึงได้ร่วมกันสืบสานประเพณีอีสานอันดีงามนี้เอาไว้ เพื่อให้ลูกหลานได้ซึมซับกับความเป็นไทยและประเพณีท้องถิ่นอันดีงามเอาไว้ มิให้เสื่อมสลายหายไปครับ !!!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น