วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

ล่องเรือโจรสลัด

 เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ในการเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ มีกำหนดการทมี่จะไปงานด้านสภาพแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น และการบริหารจัดการที่เมืองฮาโกเน่ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลังและมีบ่อน้ำพุร้อนซุกซ่อนอยู่


ที่เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของทะเลสาบอาชิ ซึ่งเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในจำนวน ๕ แห่ง ที่ตั้งอยู่รอบภูเขาไฟฟูจิ เป็นทะลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อกว่า ๓,๐๐ ปีที่แล้ว และที่สถานที่แห่งนี้ มีการจัดเรืองท่องเที่ยวและชมวิวของทะเลสาบ โดยนำเรือมาประดับประดาและออกแบบเหมือนเรือโจรสลัดสมัยโบราณ กำหนดล่องเรือประมาณ ๑๐ นาที

ช่วงที่เดินทาวมาถึงปรากฎว่าเรือลำดังกล่าวออกไปแล้ว โดยช่วงที่มาปรากฎว่าการขายตั๋วในรอบดังกล่าวเต็มแล้ว ไกด์ได้เข้าไประสานงานเพื่อขอให้กลุ่มเราเข้าไปเพิ่มเติม ปรากฎว่าไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะเรือแต่ละลำจะมีกำหนดเวลาออกที่แน่นอน หากมาไม่ตรงเวลาก็จะต้องรออีกลำหนึ่ง ซึ่งใช้เวลานานประมาณ ๓๐ - ๔๐ นาที

ทำให้คณะผิดหวังไปตาม ๆ กัน เกรงว่าจะไม่ได้ล่องเรือตามที่กำหนด มีการตกลง
กันว่าจะไปไหนในช่วงที่เรือยังไม่มา เพราะหากล่าช้า ก็จะทำให้กำหนดการต่าง ๆ เลื่อนออกไปอีก แต่เสียงส่วนใหญ่ยังอยากขึ้นเรือ จึงจำเป็นต้องยื่นรอเข้าคิดที่ซ่องจำหน่ายตั่๋ว และปรากฎว่ามีนักท่องเที่ยวตกค้างจำนวนมากเช่นกัน

ที่นี่การซื้อตั๋วจะต้องเข้าแถว ไม่มีการลัดคิว ใครมาก่อนก็ซื้อก่อน มีระบบการรักษาความปลอดภัย มีเจ้าหน้าท่ี่มาคอยให้คำแนะนำ และมีการให้สัญญาณปล่อยนักท่องเที่ยวให้เข้าไปภายในบริเวณที่จะขึ้นเรือตามจำนวนที่กำหนด แม้จะมีผู้โดยสารมาก แต่ก็จะจำหน่ายเท่าที่มีที่ว่างบนเรือ เขาจะคำนึงถึงความปลอดของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

เมื่อเรือมาถึง เจ้าหน้าที่ก็จะอนุญาตให้เข้าไปภายในสะพานที่เรือเทียบจอด จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และแบ่งเส้นการเข้า - ออกจากตัวเรือ โดยจะให้คนที่อยู่ในเรือออกมาให้หมดก่อน ถึงจะอนุญาตให้ขึ้นบนเรือได้








ภายในเรือตกแต่งสวยงามมาก เหมือนกับบ้านหลังหนึ่ง จะมีที่นังเหมือนเรือโดยสารทั่วไป และมีชั้นสองเพดานเรือ ทำเหมือเรือรบสมัยโบราณ

บนดาดฟ้าของเรือทำให้มองเห็นวิวของทะเลสาบอาชิ และวิวภูเขาไฟฟูจิสวยงามมาก อากาศเย็นสบาย มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทำให้การถ่ายภาพไม่ค่อยสะดวก และต้องหาที่ยืนที่เหมาะ ๆ เพือชมทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลสาบดังกล่าว



คณะที่ไปด้วยกัน ต่างก็ถ่ายภาพกัน หามุมสวย ๆ ซึ่งก็ลำบาก เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก หนึ่งในนั่นก็มีชาวไทยจำนวนไม่น้อย คนไทยชอบไปเที่ยวญี่ปุ่นกัีนมากในช่วงงนี้ เพราะติดใจความสวยของวิว และความสะอาดของบ้านเมืองเขา

ในการเดินทางของนักท่องเที่ยว ประเทศญี่ปุ่นจะจำกัดรถนักท่องเที่ยวมีขนาดเท่กันหมด ใช้รถมินิบัส บรรทุกคนได้ประมาณ ๔๐  คน ไม่ปล่อยอิสระเหมือนกับรประเทศเรา ใช้รถบัสตามสะดวก ไม่มีการจำกัดขนาด และจำนวนผู้โดยสาร

รถนักท่องเที่ยวไม่เห็นมีการละเล่นเหมือนกับบ้านเรา คนขับรถจะสุภาพ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไกด์จะให้เปลี่ยนเส้นทาง เขาไม่ยอมทำตาม เพราะเป็นการผิดสัญญาที่ทำกันไว้ ...แผนการดังกล่าวต้องล้มเลิกไป ..






วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561

พิธีแห่นาค




                การแห่นาครอบพระอุโบสถ เป็นประเพณีของไทยที่ได้ปฏิบัติสืบต่อกันกันยาวนาน โดยแห่เวียนประทักษิณจำนวน ๓ รอบ  เพื่อเป็นระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  อันเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง  
                อีกเหตุผลหนึ่ง เพื่อให้นาคได้สำรวมจิตใจให้พร้อมก่อนเข้าขออุปสมบท ทบทวนเรื่องราวของชีวิต ไตร่ตรองถึงหน้าที่ของพระที่จะต้องนำมาปฏิบัติต่อไป นอกจากยังเป็นอุบายสอนให้รู้ว่า ชีวิตคนเราล้วนเวียนตายเวียนเกิดในสงสารวัฎ คือ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ หลีกหนีได้ยาก

              เมื่อเดินเวียนครบ ๓ รอบแล้ว ทำให้เห็นได้ว่า ได้ค้นพบทางสว่างที่ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว ทางสายใหม่ที่เป็นเส้นทางพ้นทุกข์ คือ การเข้าหาพระธรรม
                เมื่อถึงเวลาตามที่กำหนดแล้ว พระมหาสุชาติ ชาตเมธี พระครูสังฆรักษ์พรเทพ และพระครูใบฏีกานิธิศ ได้เตรียมจัดขบวนแห่นาค ณ บริเวณด้านหลังพระวิหารหลวง โดยมีท่านอัยการสูงสุด และรองอัยการสูงสุด เดินนำหน้าขบวน ตามมาด้วยขบวนนาคคนที่ ๑ ได้แก่นาคอุกฤษณ์  ซึ่งมีอาวุโสสูงสุด และตามด้วยขบวนของนาคคนอื่น ๆ ตามลำดับ
                ส่วนอัฎฐบริขารที่ร่วมแห่ในขบวนได้แก่ ผ้าไตรหลัก ผ้าไตรครอง บาตร หมอน ผ้าห่ม รองเท้า ร่ม และเครืองไทยธรรม
                ผู้ที่เข้าร่วมในขบวนแห่นาคประกอบด้วย บิดามารดา ญาติและคณะข้าราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด จำนวนประมาณ ๑๐๐ คนเศษ
                หลังจากแห่ครบ ๓ รอบแล้วนาคก็จะมีการโปรยทาน เสร็จแล้วจะมีการทำพิธีขอขมาเสมา ก่อนที่จะเข้าสู่พระอุโบสถในครั้งนี้





ชมทุ่งพิงค์มอส

ตามกำหนดการในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เวลา ๐๘.๐๐ น. หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ คณะจะเดินทางไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและการบริหารจัดการที่ทุ่งพิิงค์มอส (Ping Moss Shibazakura)  ใกล้ภูเขาฟูจิ


พิงค์มอส เป็นดอกไม้พันธ์เล็กที่มีขนาดประมาณ ๑.๕ เซนติเมตร มีทั้งสีชมพู แดง ม่วง และขาว ชิบะซากุระเป็นพันธ์ที่ได้มาจากอเมริการเหนือ เรียกว่า Tweet มีลักษณะคล้ายดอกชากุระแต่บานและออกดอกบนพื้นดิน จะชอบอยู่บนดินที่ระบายน้ำได้ดี และมีแดดส่องอย่างทั่วถึง และนิยมปลูกบนกำแพงหินหรือที่ลาดชัน จึงกลายเป็นเสน่ห์ของสวนดอกชนิดนี้

การเดินทางออกจากที่พักไปไม่ไกลก็ถึงสถานที่ดังกล่าว เนื่องจากมาแต่เช้ามองดูจะเงียบ ๆ ยังไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาชม กลุ่มเราน่าจะเป็นกลุ่มแรก บริเวณที่จอดรถยังว่างอยู่ ประตูที่ขายตั๋วยังเงียบ และเพิ่งเปิด มองเข้าไปข้างใน ดูดอกไม้ยังไม่บาน น่าจะเลยฤดูมาแล้ว

ทางเข้าไปท่องเที่ยวก็ดูแบบธรรมชาติ หลังผ่านประตูแล้วก็มีถนนเดินเข้าไปชมตามทุ่งดอกไม้ และมีผิวสวยงามมาก ๆ เพราะบางฉากจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ เด่นสง่า และในช่วงเช้าอากาศกำลังดี ไม่เย็นมาก การถ่ายภาพก็จะสวย

จากการดูการบริหารจัดการของทุ่งพิงค์มอส ทำให้เห็นว่าการบริหารจัดการเข้าจะเป็นระบบ มีการจัดสถานที่สำหรับการถ่ายภาพ การขายเครื่องดื่ม จะมีการจัดการแยกชัดเจน มีป้ายบอกว่าสถานที่ได้ชัดเจน ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าท่องเที่ยวได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

บริเวณทางเข้าจะมีการประดับธงสีต่าง ๆ คล้ายกับบ้านเรา เวลามีงานเทศกาลต่างๆ จะมีการประดับธงสีต่าง ๆ ทำให้รู้ว่าเข้าสูเทศกาลของงงาน

                                                วิวจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิสวยงามด้านหลัง







                                                    ถ่ายภาพกับท่านผู้บริหาร และผอ.สตน.

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

วัดขุนอินทประมูล


ในการไปเที่ยวที่จังหวัดอ่างทองในครั้งนี้ มีวัดอีกวัดหนึ่ง ที่มีผู้แนะนำให้ไปกราบสักการะพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยได้แก่ วัดขุนอินทประมูล ได้ทราบว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เคยมาจำพรรษา ณ วัดแห่งนี้ด้วย

การเดินทางไปวัด มีป้ายบอกตลอดทาง เมื่อถึงหน้าวัดจะมีที่จอดรถกว้างขวาง มาร้านค้าขายอาหารและของที่ระลึก มองเข้าภายในจะเห็นพระนอนตั้งตระหง่าน เด่นเป็นสง่าสวยงามมาก

วนนี้มีประชาชนมานมัสการเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลตรัษจีน และยังรถกระบวนของพระนวกะจากวัดในภาคกลางมาทัศนศึกษาในวันนีด้วย

ได้พาครอบครัวกราบนมัสการ เวียนประทักษิณ แล้วได้เดินมาชมร้านที่ตั้งเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมของวัดที่จัดแสดงไว้ให้ประชาชนได้มาเยี่ยมชม



 วัดขุนอินทประมูลตั้งอยู่ในเขตตำบลอินทประมูล เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัย พิจารณาจากซากอิฐแนวเขตเดิมคะเนว่าเป็นวัดขนาดใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ที่มีชื่อว่า พระศรีเมืองทอง มีความยาววัดจากปลายพระเมาลีถึงปลายพระบาทได้ 50 เมตร (25 วา) เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารแต่ถูกไฟไหม้ปรักหักพังไป เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1 เหลือแต่องค์พระตากแดดตากฝนอยู่กลางแจ้งมานานนับเป็นร้อยๆ ปี องค์พระพุทธรูปมีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกับพระนอนจักรสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยเดียวกัน องค์พระนอนมีพุทธลักษณะที่งดงาม พระพักตร์ยิ้มละไม สงบเยือกเย็นน่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก พระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ได้เคยเสด็จมาสักการะบูชา อาทิเช่น พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เสด็จมาเมื่อ พ.ศ. 2296 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ในปี พ.ศ. 2421 และ 2451 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเสด็จฯ มาถวายผ้าพระกฐินต้นในปี พ.ศ.2516 และเสด็จมานมัสการอีกครั้งในปี พ.ศ. 2518

          พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศต่างนิยมมานมัสการเป็นเนืองนิจสอบถามข้อมูล นอกจากนี้ภายในบริเวณวัดขุนอินทประมูลยังมีซากโบราณสถานวิหารหลวงพ่อขาว ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงแค่ฐาน ผนังบางส่วนและองค์พระพุทธรูป และ ในศาลาเอนกประสงค์ มีศาลรูปปั้นขุนอินทประมูลและโครงกระดูกมนุษย์ ขุดพบในเขตวิหารพระพุทธไสยาสน์เมื่อปี พ.ศ. 2541 ลักษณะนอนคว่ำหน้า มือและเท้ามัดไพล่อยู่ด้านหลัง เชื่อกันว่าเป็นโครงกระดูกขุนอินทประมูลแต่บ้างก็ว่าไม่ใช่ สันนิษฐานกันตามประวัติที่ได้เล่ากันว่า เป็นนายอากรผู้สร้างพระพุทธไสยาสน์ โดยยักยอกเอาเงินของหลวงมาสร้างเพื่อเป็นปูชนียสถาน ครั้นพระมหากษัตริย์ทรงทราบรับสั่งถามว่าเอาเงินที่ไหนมาสร้าง ขุนอินทประมูลไม่ยอมบอกความจริงเพราะกลัวส่วนกุศลจะตกไปถึงองค์พระมหากษัตริย์จึงถูกเฆี่ยนจนตาย วัดนี้จึงได้ชื่อว่า "วัดขุนอินทประมูล” 
           การเดินทางมายังวัดขุนอินประมูลนี้สามารถใช้เส้นทางได้ 3 สายคือสายอ่างทอง-อำเภอโพธิ์ทอง (เส้นทางหมายเลข3064 ) พอเจอแยกขวาที่กิโลเมตร 9 ก็ให้เลี้ยงเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร หรือจะเลือกใช้เส้นทางจากจังหวัดสิงห์บุรีไปทางอำเภอไชโยประมาณกิโลเมตรที่ 64-65 จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าถึงวัดเป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร หรือสามารถใช้เส้นทางตัดใหม่สายอำเภอวิเศษชัยชาญ-โพธิ์ทอง (ถนนเลียบคลองชลประทาน เมื่อถึงอำเภอโพธิ์ทองมีทางแยกเข้าวัดอีก 2 กิโลเมตรก็ได้เช่นกัน






                                            ลูกสาวและครอบครัวถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก


                                                    อิ่มบุญกันทุกคน

บ้านนางสุชาดา


ในคราวที่ไปบรรพชาและอุปสมบทที่ประเทศอินเดียในช่วงเดือนมากราคม ๒๕๕๗ ในครั้งนี้ ตามกำหนดการต้องไปเยี่ยมชมบ้านนางสุชาดา ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาเจดีย์พุทธคยา

โดยคณะได้นั่งรถออกจากวัดไทยพุทธคยา ผ่านด้านหน้ามหาเจดีย์พุทธคยา ผ่านสพานข้ามแม่นำเนรัญชรา ไปไม่ไกลก็ถึงบ้านของนางสุชาดา

สภาพบ้านเป็นเนินดินทรงกลม และมีการล้อมรอบกั้นไว้ ในขณะที่ไปครั้งนี้ มีนักท่องเที่ยวจากจีน และธเิบตมาเยี่ยมชมเช่นเดียวกัน

การมาเยี่ยมชมครั้งนี้ บางท่านก็เวียนประทักษิณ หลังจากนั้นก็มีการถ่ายภาพหมูร่วมกัน เพื่อเป็นที่ระลึกและแต่ละท่านก็ถ่ายรูปไว้กันเป็นที่ระลึก

ความเป็นมา : นางสุชาดา เป็นบุคคลที่ร่ำรวยอีกคนหนึ่งในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เป็นธิดาของนายบ้าน นางได้ถวยถาดทองแด่พระโพธิสัตว์โดยมีเสียดาย เป็นเครื่องบ่งบอกให้เราทราบว่า นางสุชาดา เป็นคนที่มีฐานะร่ำรวย

นางสุชาดา เป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาส แด่พระโพธิสัตว์ ที่ใต้ต้นไทร เพื่อแก้บนที่ตนเองได้แต่งงานกับชายที่มีชาติเสมอกัน และมีบุตรชายในครรภ์แรก และอาหารมื้อนี้เป็นมื้อสุดท้ายก่อนที่พระโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



ต่อมาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างสถูปเพื่อเป็นเกียรติแก่นางสุชาดาด้วย แต่สถูปนั่นได้พังทลายไปหมดแล้ว ปัจจุบันทางการได้ล้อมรอบบริเวณเนินดินของบ้านนางสุชาดา ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดพม่า และมีการบูรณะใหสมบูรณ์ดั่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน




หากท่านมีโอกาสไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย ก็ควรจะไปเยี่ยมชมเพื่อรำลึกถึงบุญคุณและบุญกุศลที่นางสุชาดาได้บำเพ็ญมา และมีส่วนสำคัญที่ส่งผลให้สมเด็จพระสัมมาพระุพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ เกิดประโยชน์ต่อประชาคมชาวโลกมาจนถึงปัจจุบัน

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2561

เที่ยววัดม่วง


เมื่อกลางปี ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวในพื้นที่จังหวัดอ่างทอง เนื่องจากมีกำหนดการจะไปร่วมงานมงคลสมรสของน้องที่อยู่ที่ทำงานด้วยกัน


ตกลงกันจะเดินทางไปตามเส้นทางด่วยอดรรัถยา -บางปะอิน-อยุธยา-สิงห์บุรี และเข้าอ่างทอง และแวะทำบุญไปตามเส้นทางดังกล่าว

มีการแวะไปตามรายทางหลายวัด ก่อนจะเดินทางไปถึงวัดม่วง การเดินทางจะสะดวกเนื่องจากป้ายบอกทางไปแหล่งท่องเที่ยวตามรายทาง

จังหวัดอ่างทองมีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง ส่วนมากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับเก่าแก่ และมีประวัติความเป็นมายาวนาน





 เดิมวัดม่วงเป็นวัดร้างเก่าแก่สมัยอยุธยา เมื่อครั้งพม่ายกทัพมาตีไทยและได้จุดไฟเผาเสียหายมาก พม่าได้กวาดต้อนคนไทยไปเป็นเชลย วัดม่วงก็ได้ถูกพม่าเผาทำลาย เสนาสนะเสียหายจนหมดสิ้น คงเหลือแต่เนินและพระพุทธรูปหินศิลาแลงปรักหักพัง พระพุทธรูปหินศิลาแลงเนื้อหินสีขาวองค์นี้มีนามว่า "ขาว" มีลักษณะอยู่ครึ่งองค์ที่โผล่อยู่เหนือเนินดิน หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ ได้หล่อปั้นด้วยเนื้อปูนหุ้มให้เต็มองค์ เนื้อศิลาแลงสีขาวนั้นไว้ข้างใน มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ซึ่งอยู่คู่กับวัดม่วงนี้มาตลอด 
หลวงพ่อเกษมได้เล่าให้ฟังว่า ที่หลวงพ่อเกษมมาบูรณะวัดม่วงที่นี่เพราะเมื่อครั้งหลวงพ่อเกษมได้ธุดงค์ไปจังหวัดกาญจนบุรี ได้เข้าไปปฏิบัติธรรมวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ในถ้ำ ญาณหลวงพ่อขาวได้มาบอกกับหลวงพ่อเกษมว่า "ให้มาสร้างวัดม่วงอยู่ตำบลหัวตะพาน อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ชื่อว่าวัดม่วง หลวงพ่อเกษมได้ตอบด้วยญาณว่า "กระผมยังเป็นพระที่ไม่มีสมณศักดิ์ อายุพรรษายังน้อย" 
หลวงพ่อขาวตอบว่า "ไม่เป็นไร ไปเถอะ ถึงกาลเวลาแล้วที่เจ้าของวัดม่วงเขาได้มาเกิดกันแล้ว เขาจะมาช่วยสร้างวัด แล้วจะสำเร็จ" ญาณหลวงพ่อขาวก็จางหายไป



 เมื่อครบกำหนดที่หลวงพ่อเกษมปฏิบัติธรรมในถ้ำได้ตามที่ตั้งใจ ก็ออกจากถ้ำ ธุดงค์มาตามที่หลวงพ่อขาวบอกสถานที่ไว้เมื่อมาถึงสถานที่หลวงพ่อขาวบอกไว้ ไม่พบว่าเป็นวัดเลย เป็นป่าต้นไม้ปกคลุมไปหมด 
หลวงพ่อเกษมเดินเลยไปได้ยินเสียงเรียกว่า "ลูก ลูก พ่ออยู่ตรงนี้" หลวงพ่อเกษมเดินย้อนกลับมาที่เดิม ได้เอาร่มที่หลวงพ่อถือมากวาดแหวกพงหญ้าที่ขึ้นรกเต็มไปทั่ว
 ก็พบพวกสัตว์มีพิษ เช่นแมลงป่องตัวใหญ่ ตะขาบ งู หันมาจะต่อสู้ หลวงพ่อเกษมจึงพนมมือ ตั้งจิตอธิษฐานว่า "มาที่นี่ตั้งใจจะมาสร้างและบูรณะวัดขึ้นมาใหม่ตามคำบอกของหลวงพ่อขาว" พออธิษฐานจบ 
หลวงพ่อเกษมเดินฝ่าดงสัตว์มีพิษเข้าไป โดยพวกสัตว์นั้นไม่ทำอันตรายเลย หลวงพ่อเกษมมีเสื่อติดมาด้วย จึงกางปูแล้วนั่งสมาธิ จึงพบว่าที่นี่เดิมเป็นวัดจริงๆ มีพระพุทธรูปหินศิลาแลงสีขาว มีลักษณะเพียงครึ่งองค์ หลวงพ่อเกษมจึงออกจากที่วัดเข้าไปแจ้งแก่เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะจังหวัดให้ทราบว่าจะมาขออนุญาตสร้างและบูรณะวัดม่วงที่จมหายไปนานแล้ว ให้ขึ้นมาเป็นวัดดังเดิม ก็ได้รับอนุญาต
 หลวงพ่อเกษมได้มีชาวบ้านบางคนละแวกนั้นที่รู้ว่าจะมาสร้างเป็นวัดมาช่วยถางหญ้าที่รกจึงเหลือแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่เก่าแก่ท้งนั้น พื้นที่รกกลับโล่งเตียน ทำให้เห็นสภาพพื้นที่เดิมว่าเป็นวัด เพราะมีเนินดินสูง มีพระพุทธรูปศิลาแลงสีขาวครี่งองค์ตระหง่านอยู่กลางเนินดินนั้น มีอิฐก้อนวางเรียงก่อสูงกว่าพื้นดินก้อนอิฐมีลักษณะถูกเผาไหม้เกรียม สภาพเก่าๆ ยังคงหลงเหลือในยามนั้น หลวงพ่อเกษมก็ได้ร่วมกับชาวบ้านสร้างศาลาครอบบนเนินดิน ยกองค์พระพุทธรูปศิลาแลงสีขาวประดิษฐานอยู่ในศาลานั้น พระพุทธรูปมีนามว่า "หลวงพ่อขาว" ตามที่เรียกขนานนามเดิม

 หลวงพ่อเกษมได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อแจ้งกรมการศาสนาในการขอสร้างและบูรณะ พร้อมกันนี้ขอดูสมุดประวัติหรือเรียกสมุดที่เก่าแก่อีกนามว่า สมุดข่อย กรมการศาสนาได้หยิบสมุดข่อยเล่มใหญ่เก่าแก่มากมาให้เปิดดู พบว่ามีชื่อวัดม่วง ตำบลหัวตะพาน อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง จริง มีเนื้อที่ดินประมาณ 70 กว่าไร่ 
แต่ยามนั้นมีเนื้อที่ดินเหลืออยู่น้อย มีชาวบ้านมาทำไร่ไถนาเต็มไปหมด หลวงพ่อเกษมจึงขอติดต่อซื้อที่ดินคืนจากชาวบ้าน มีชาวบ้านแถวนั้นบางคนไม่ค่อยพอใจหลวงพ่อเกษมนัก ที่มาขอซื้อที่ดินคืน ซึ่งเขาเคยทำไร่นาอยู่ แต่ต้องจำยอมขายให้ในราคาที่ทางการกำหนดเพราะพื้นที่เดิมเป็นของวัดจริงๆ ระยะเริ่มแรกที่หลวงพ่อเกษมสร้างหลวงพ่อพระสีวลีก่อน สร้างกุฎิของท่านเองเป็นสังกะสีเก่าๆ ใต้ต้นโพธิ์ (ปัจจุบันต้นโพธิ์อยู่ด้านหน้าศาลาบำเพ็ญบุญ) และสร้างศาลาสังกะสีบนเนินดินเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อขาว (ปัจจุบันคือวิหารแก้ว)









                                หน้าตาอิ่มบุญกันทุกคน

พุทธคยา



การเดินทางไปประเทศอินเดีย ออกจากสนามบินท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปที่เมืองพุทธคยาใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วมโมง เป็นช่วงเทศกาลที่ผู้แสวงบุญเดินทางไปอินเดียกันมาก


ลงจากเครื่องบินแล้ว ต้องผ่านการตรวจของด่านศุลการ และคนเข้าเมือง ปรากฎว่า มีปัญหา เนื่องจากทางราชการอินเดีย ได้เปลี่ยนแปลงใบเข้าประเทศใหม่ จำเป็นต้องมานั่งเขียนกันใหม่
เสร็จแล้ว มีรถบัสมารอรับที่บริเวณอาคารสนามบิน เดินทางไปยังวัดไทยพุทธคยา และจัดเข้าที่พักตามที่วัดได้จัดไว้  ให้ ๒ - ๓ คนต่อห้อง เนื่องจากมีญาติโยมมาพักอย่บางส่วน

ช่วงเย็นมีกหนดจะทำพิธีมอบตัวนาค และมีการมอบผ้าไตรจีวรให้กับพ่อนาคทุกคน และฝึกขานนาค ก่อนที่จะเข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณรที่บริเวณใต้ต้นโพธิ์ บริเวณมหาเจดีย์พุทธคยาในช่วงเช้า

 ประวัติวัดไทยพุทธคยา

วัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย......วัดแห่งแรกแห่งความภาคภูมิใจ
.อันเดียจัดงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ เรียกว่า "พุทธชยันตี" เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๐ เป็นเวลาที่ตรงกับพุทธศักราช ๒๔๙๙ ของชาวไทย เพราะพุทธศักราชไทยและอินเดียต่างกันอยู่ ๑ ปี รัฐบาลอินเดียเตรียมงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษไว้ล่วงหน้าก่อนพุทธศักราช ๒๕๐๐ หลายประการ ได้แก่ บูรณปฏิสังขรณ์ทำนุบำรุงสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง และสถานที่สำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาในอินเดียทุกแห่งอย่างจริงจัง สร้างที่พักสำหรับรองรับผู้มาจาริกแสวงบุญทุกแห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พุทธศาสนิกชนจากทุกหนแห่งที่มีศรัทธาเดินทางมาสักการะพุทธสถานในโอกาสสำคัญนี้ ในเวลาเดียวกันก็ส่งสาส์นเชิญชวนบรรดาประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาร่วมกันเฉลิมฉลองโดยการสร้างวัดในดินแดนพุทธภูมิเพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชาด้วย

               รัฐบาลไทยได้รับการเชื้อเชิญให้ไปสร้างวัดในอินเดีย เมื่อต้นพุทธศักราช ๒๔๙๙ ในปีที่อินเดียกำลังจัดงานพุทธชยันตีอย่างปลื้มปีติ โดยประสานความเข้าใจอันดีระหว่างกันผ่านทางสถานทูต ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงเสียสละอย่างสูงเมื่อทรงค้นพบ "สัจธรรม" แล้ว ทรงประทานแก่ชาวโลกโดยมิได้หวงแหนไว้เฉพาะชนชาวภารตะเท่านั้น มวลหมู่ประชาชาติทุกมุมโลกต่างได้รับการอบรมบ่มธรรมให้พบด้วงปัญญาที่ทำให้ชีวิตศานติสุข ทรงสอนมิให้งมงายต่อสิ่งทั้งปวงของโลก ให้รู้เท่าทันต่อสภาวะทั้งมวลของโลกอย่างถ่องแท้

  
               พระคุณแห่งพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระและพระเจ้าอโศกมหาราชมหาราชาธิบดีแห่งอินเดีย ในยุคถัดต่อพุทธกาล เมื่อประมาณพุทธศักราช ๒๓๖ ที่ทรงมอบหมายให้พระมหาเถระคือพระโสณเถระ
และพระอุตตรเถระพร้อมด้วยคณะพุทธบริษัทที่สามารถทำสังฆกรรมได้ มาประกาศพระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ ณ พระปฐมเจดีย์ อันเป็นจุดเริ่มต้นบนผืนแผ่นดินไทยทุกวันนี้

                พระรัตนตรัย คือ มรดกอันล้ำค่า นับแต่นั้นมาพระมหากรุณาธิคุณอันสูงยิ่งนี้พุทธบริษัทในแผ่นดินทั้งมวลต่างเทิดพระคุณไว้ตราบนิรันดร
     ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลไทยตระหนักว่า แม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศเล็กพลเมือง เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๐ มีเพียง ๓๐ ล้านคน ก็รับมรดกอันล้ำค่าคือ "พระพุทธศาสนา" ไว้เป็นศาสนาประจำชาติ มีวัดวาอารามทางพระพุทธศาสนากว่า ๒๐,๐๐๐ วัด มีพระสงฆ์ในระหว่างพรรษากว่า ๒๐๐,๐๐๐ รูป กฎมณเทียรบาลและรัฐธรรมนูญของแผ่นดินไทยตราไว้ชัดเจนว่า "องค์พระประมุขของชาตินั้นจักต้องทรงเป็นพุทธมามกะ"อัธยาศัยของชาวไทยได้รับการกล่าวขวัญจากชาวต่างประเทศว่า "สยามเมืองยิ้ม" บ้าง "ประเทศแห่งความเมตตาปราณี" บ้าง เพราะเหตุแห่งคุณธรรมอันล้ำเลิศของพุทธองค์ที่อาบย้อมจิตใจตลอดมาล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณธรรมที่สูงส่งของพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น
     พุทธศักราช ๒๕๐๐ รัฐบาลไทยตอบรับคำเชิญชวนของรัฐบาลอินเดียในการที่จะสร้างวัดไทยในอินเดีย ณ สถานที่ตรัสรู้ คือ พุทธคยาเป็นอันดับแรกด้วยเหตุผล ๓ ประการ คือ
               ๑. ประเทศอินเดียเป็นสถานที่กำเนิดของพระพุทธศาสนา
               ๒. ประเทศอินเดียมีประชาชนยังคงนับถือพระพุทธศาสนาเพียง ๑๘๑,๒๖๘ คน คิดเป็นอัตราส่วน ๐.๐๖ เปอร์เซ้นต์ ต่อประชากรทั้งประเทศ
               ๓. ประเทศอินเดีย เป็นประเทศที่ชาวพุทธไทยควรได้สนองพระคุณน้อมเป็นพุทธบูชา โดยจัดพระสงฆ์ "ปัญจวรรค" เป็นอย่างน้อยมาบำเพ็ญสมณกิจอยู่ประจำ
     รัฐบาลจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการก่อสร้างวัดไทยพุทธคยาขึ้นดำเนินการ

สถานที่สร้างวัดไทยพุทธคยา
.....คณะกรรมการก่อสร้างวัดไทยพุทธคยา มี พลเอก หลวงสวัสดิ์ สรยุทธ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (กระทรวงวัฒนธรรมในรัฐบาลสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม) เป็นประธานได้รับการ
รายงานจากนายบุณย์ เจริญไชย เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเดลฮี ประเทศอินเดียขณะนั้นว่า สถานที่สร้างวัดไทย ควรจัดสร้างที่พุทธคยา จังหวัดคยา แคว้นพิหาร เป็นสถานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ซึ่งเป็นที่กำหนดแน่นอนว่า "พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้น ณ พุทธคยา"นี้ และชาวอินเดียทั้งมวลอีกว่า "พุทธคยาคือศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนา"
  
              ขณะนั้นมีวัดชาวพุทธในเครือประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาสร้างขึ้นใกล้เคียงโดยรอบมหาวิหารพุทธคยา โดยศรัทธาของประชาชน คือ วัดศรีลังกา หรือมหาโพธิสมาคม วัดพม่า วัดจีน วัดทิเบต
วัดพีร์ลาลักษณะอย่างธรรมศาลา

การจัดหาที่ดินสร้างวัด
ฝ่ายอินเดียเสนอที่ดินให้รัฐบาลไทยเลือก ๓ แปลง ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลจากมหาวิหารพุทธคยา
     การเลือกที่ดินครั้งที่ ๑นายฟุ้ง ศรีวิจาร์ อธิบดีกรมการศาสนา เลือกที่ดินแปลงที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเจดีย์พุทธคยาประมาณ ๒๐๐ เมตร เนื้อที่ ๓.๙๒ เอเคอร์ใกล้กับวัดทิเบต ครั้นเมื่อวางผังและเริ่มก่อสร้างในปลายพุทธศักราช ๒๕๐๐ เกิดปัญหาขัดข้องต้องระงับการก่อสร้างและย้ายไปหาที่แห่งใหม่
  
              การเลือกที่ดินครั้งที่ ๒ ความยุ่งยากในการก่อสร้าง นายฟุ้ง ศรีวิจารณ์ อธิบดีกรมการศาสนา เขียนเล่าไว้ในเรื่อง "ส่วนสูงเป็นเหตุ" หนังสือในงานพระราชทานเพลิงศพของท่านเมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๓ ที่ดินแปลงใหม่มีเนื้อที่ ๔.๕๗ เอเคอร์  เท่ากับ ๑๑ ไร่เศษ ตั้งอยู่สุดเนินดินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ขององค์เจดีย์พุทธคยาประมาณ ๔๐๐ เมตร ใช้เวลาเดินอย่างสมณะประมาณ ๔ นาที หน้าวัดติดถนนหลวงสายมใหม่จากเมืองคยาถึงพุทธคยา ๑๒ ไมล์ หรือ ๑๕ กม. ถ้าระยะทางเส้นเดิมเลาะริมแม่น้ำเนรัญชรา ๗ ไมล์ หรือ ๑๒ กม. พื้นที่เป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งเหมาะแก่การวางผังบริเวณได้งดงาม สิ่งแวดล้อมโดยรอบเป็นทุ่งนา แลดูเขียวชอุ่มสดชื่นในฤดูวสันต์และเหมันต์อย่างยิ่ง (จาก http://www.watthaibuddhagaya935.com)






                                  ถ่ายภาพใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และป่าอิสิปตนมฤทายวัน