วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ทำบุญวันพ่อ

ในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่่หัว ๖๖ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เป็นวันหยุดราชการต่อเนื่องกันจำนวน  ๔ วัน

กำหนดแผนที่จะเดินทางไปดูบ้านพักที่จังหวัดนครราชสีมา โดยหลังจากร่วมพิธีลงนามถวายพระพรแล้วจะเดินทางไปก่อนเที่ยง และไปคราวนี้จะมีแม่ยายเดินทางไปด้วย..เป็นการพักผ่อนไปในตัว

ปรากฎว่า คุณยายมีอาการขาบวม ไม่สะดวกในการเดินทาง นอกจากนี้ ลูกสาวคนกลางมีอาการไข้ เป็นหวัด เจ็บคอ แผนที่วางไว้เป็นต้องพับไว้


มีการเปลี่ยนแผนใหม่ และกำหนดจะพาคุณยายกองไปทำบุญ เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา และแม่บ้านบอกว่า..จะต้องพายายไปนอนโลง ทำพิธีบังสุกุลเป็น บังสุกุลตายด้วย

มีวัดไหนบ้างที่ทำพิธีดังกล่าว เท่าที่เคยไปก็มีวัดบัวขวัญ..วัดตะเคียน แถวพระราม ๕ ...วัดสร้อยทอง..มีน้องชายบอกว่า...ที่วัดนาวงค์ แถวดอนเมืองก็มีน่ะ ..เลยเปลี่ยนแผนไปที่...วัดนาวงศ์

ขับรถออกจากบ้านพักไปตามเส้นทางถนนวงค์สว่าง -โลโคโรด ไปแวะทำบุญที่วัดหลักสี่ และวัดคล่องใหม่บ้านด่าน และวัดนาวงค์ ตามลำดับ


ที่วัดหลักสี่ มีการทำบุญหล่อเทียนเข้าพรรษา ให้อาหารวัว ทำบุญประจำวันเกิด ทำบุญซื้อกระเบื้องมุ่งพระอุโบสถ



ที่วัดคลองใหม่ บ้านด่าน เป็นวัดที่สงบเงียบมาก เป็นวัดปฏิบัติ ขณะที่เข้าไปทำบุญมีการสอนวิปัสสนากัมมัฎฐานด้วย..ยุบหนอ... พองหนอ... ซ้ายหนอ... ขวาหนอ..ที่นีมีศาลาปฏิบัติธรรมใหญ่โตด้วย
โดยเฉพาะพระวิหาร ใหญ่โต น่าจะใช้งบจำนวนไม่น้อย



ที่วัดนาวงศ์ มีการทำบุญหล่อเทียนเข้าพรรษา การลอยพระเคราะห์ การทำบุญโลงศพ การถวายสังฆทาน และอื่น ๆ แต่ไม่มีพิธีซักบังสุกุลเป็น - บังสุกุลตาย ดังที่น้องบอกมา

แผนต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ จึงล้มเหลวเช่นเดิม...เพราะไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่า...ที่เขาว่านั่น..มีจริงมัย..


วัดคลองใหม่ ได้ทำบุญหล่อเทียนเข้าพรรษา ทำบุญผ้าป่าลอยฟ้า ปิดทองฝังลูกนิมิต และถวายผ้าอาบน้ำฝน เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ด้วย



                                                      เป็นคติธรรมที่น่าสนใจ


ในบริเวณวัดคลองใหม่ จะติดคติธรรมที่น่าสนใจ ไว้ตามต้นไม้ ..สภาพวัดร่มรืน และเงียบสงบ เหมาะแก่การมาปฏิบัติธรรมเป็นอย่าง



ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ถวายเทียน...เทศกาลเข้าพรรษา

เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาระบบบริหาร พร้อมด้วยคณะข้าราชการ ได้มีความประสงค์ศรัทธาที่จะนำเทียนไปทอดถวายให้กับวัดในเขตเมืองนนทบุรี เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษาปี ๒๕๖๑

เริ่มแรก ผอ.ได้สืบค้นหาวัดที่จะเทียนพรรษาไปทอดถวาย โดยครั้งแรกนัดแนะกันไว้ว่า...จะนำเทียนไปถวายที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ปากเกร็ด นนทบุรี

บางท่านก็ให้ความเห็นว่า...น่าจะนำไปถวายวัดที่ยากจน กันดารมากกว่า...เพราะวัดที่ดัง มีชื่อเสียง จะมีทุกอย่างพร้อมและมากด้วย หากนำไปทอดที่วัดยากจน กันดาร ก็จะได้ประโยชน์มากกว่า

จึงได้มีการสืบค้นหาวัดที่น่าจะไปถวายเทียนกัน

มีการเสนอวัดมา ๒ วัด มีวัดหนึ่งในจำนวนนั่นคือ.. วัดน้อยนอก... ซึ่งตั้งอยู่แถวสนามบินน้ำ จะเป็นวัดเล็ก และมีสภาพที่ไม่พร้อม จึงตกลงกันจะนำเทียนไปถวายที่วัดดังกล่าว




คณะข้าราชการจึงได้ร่วมกันทำบุญได้เงินจำนวน ๓ พันกว่าบาท นำไปซื้อเทียน หลอดไฟ และบริวารที่เกี่ยวข้อง

ได้นัดหมายกันไปช่วงบ่ายของวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ หลังจากได้ร่วมกันลงนามถวายพระพร และร่วมกันปลูกต้นรวงผึ้ง หน้าบริเวณด้านหน้าสำนักงานฯเรียบร้อยแล้ว



การเดินทาง ได้วิ่งไปตามถนนแจ้งวัฒนะ แวะทานอาหารกลางวันที่ร้านอาม่า ข้าวขาหมู ก๋วยเตี๋ยว และขนมจีนนำยา






เสร็จแล้วเดินทางไปตามเส้นทางแจ้งวัฒนะ เข้าซอยสามัคคี ทะลุถนนติวานนท์ เข้าถนนสนามบินน้ำ และเข้าด้านหลัง...วัดน้อยนอก

สภาพวัด มีเนื้อที่มาก แต่ได้มีชาวบ้านบุกรุกพื้นที่วัดไปบางส่วน ทำให้วัดคับแคบ นอกจากนี้ด้านข้างก็มีการก่อสร้างคอนโด สูงเสียดฟ้า บดบังทัศนียภาพของวัดไปหมด

ท่านเจ้าอาวาส ได้มาพบปะกับคณะข้าราชการ มีการแนะนำประวัติความเป็นมาของวัด และถาวรวัตถุที่อยู่ใระหว่างการก่อสร้าง






วัดนี้มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ความว่า...ทหการเอกของพระองค์ คือขุนศรีมงคล ได้ตีฝ่าวงล้อมออกมากจากกรุงศรีอยุธยา มายังสถานที่แห่งนี้ และถูกทหารพม่าตามล่า จนตรอกแถวต้นโพิ์ใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่สามารถข้ามไปได้ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวน้ำเชียว และกว้าง จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า...หากสามารถพ้นจากเงื้อมมือของทหารพม่าไปได้ จะกลับมาสร้างวัด ณ สถานที่แห่งนี้ เพื่อเป็นพุทธบูชาสืบไป...

ด้วยอานิสงค์ผลบุญดังกล่าว ทำให้กองทหารดังกล่สวรอดพ้นจากเงื้อมมือของทหารพม่า ขุนศรีมงคล จึงได้นำไพร่พลมาสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นตามที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้

สาเหตุที่ตั้งชื่อว่า..วัดน้อย..เนื่องจากตั้งตามชื่อของธิดาคนหนึ่งมีชื่อว่าน้อย ส่วนคำว่านอก มาตั้งในภายหลัง


หลังจากนั้นได้ร่วมกันถวายเทียนพรรษา พร้อมทั้งบริวาณ เสร็จแล้ว พระอาจารสันติชัยฯ ได้นำคณะข้าราชการไปชมพระอุโบสถ และนำสวดมนต์ บำเพ็ญจิตภาวนาภายในพระอุโบสถอีกด้วย

ทำให้คณะข้าราชการได้ร่วมทำบุญครบทั้งทาน ศีล และภาวนา ครบถ้วน..ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ


ประวัติวัดน้อยนอก



พระอุโบสถวัดน้อยนอก

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ฟูจิซัง..ความฝันที่เป็นจริง

 ในชีวิตเคยคิดจะไปดูภูเขาไฟฟูจิมัย...คงตอบว่า..เคยคิด แต่คงไม่มีโอกาสในชาตินี้แน่ ๆ
ความฝันบางครั้ง แรก ๆ อาจจะไม่กลายเป็นความจริงไปได้ แต่ในอนาคตไม่มีอะไรแน่นอน ความฝันอาจกลายเป็นจริงได้
และแล้วความฝันที่เคยฝันไว้ก็เป็นจริง...เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ได้มีโอกาสเดินทางไปดูงานเกี่ยวกับระบบการบริหารจัดการสภาพสิ่งแวดล้อม และศิลปวัฒนธรรม รอบ ๆ ภูเขาไฟฟูจิ 

หลังจากลงจากเครื่องบินสายการบินสก๊อตแอร์ไลน์ แล้วได้เดินทางโดยรถบัสจากสนามบินนานาชาติ นาริตะ ใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง ถึงภัตตาคาร Yokan onsen เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน

 ภัตตาคาร Yokan Onsen ซึ่งบริการด้วยอาหารญี่ปุ่นแบบเซ็ตเมนู ย่างหินภูเขาไฟ หมูอย่างดี เสิร์ฟเป็นเซ็ตขนาดใหญ่ พร้อมด้วยกุ้ง ผักสดนานาชนิด อาทิฟักทอง ถั่วงอก กระหล่ำปลี ให้ทุกคนได้ทดลองย่างด้วยตนเองบนเตาที่ผลิตมากจากหินภูเขาไฟ พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด ข้าวสวยร้อน ๆ และซุปมิโซะอีกด้วย


ก่อนที่จะไปดูความงามของภูเขาไฟฟูจิ คณะได้พาเข้าศึกษาดูงานที่สถาบันป้องกันแผ่นดินไหว ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน เพื่อจะได้ทราบถึงความเป็นมา และการป้องกันภัยพิบัติจากการเกิดแผ่นดินไหวด้วย



ถ่ายภาพ ณ บริเวณด้านหน้าร้านค้า


ประวัติภูเขาไฟฟูจิ
ภูเขาไฟฟูจิ (Fuji Mountain) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดใน ประเทศญี่ปุ่น ราว 3,776 เมตร (12,388 ฟุต) ตั้งอยู่บริเวณ จังหวัดชิซุโอะกะและ จังหวัดยะมะนะชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของ โตเกียว พื้นที่โดยรอบ ประกอบด้วย ทะเลสาบฟูจิทั้งห้า อุทยานแห่งชาติฟุจิ-ฮะโกะเนะ-อิซุและ น้ำตกชิระอิโตะ โดยในวันที่อากาศแจ่มใสสามารถมองเห็นจาก โตเกียว ได้ ในปัจจุบันภูเขาได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ ระเบิดครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) ยุคเอะโดะ
ภูเขาไฟฟูจิ มีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า "ฟูจิซัง" ซึ่งในหนังสือในสมัยก่อนเรียกว่า "ฟูจิยะมะ" เนื่องจากตัวอักษรคันจิตัวที่ 3 () สามารถอ่านได้ 2 แบบทั้ง "ยะมะ" และ “ ซัง “


ถ่ายภาพบนชั้นสำหรับชมวิวของภูเขาไฟฟูจิ
เชื่อว่ามีผู้ปีนภูเขาไฟฟูจิ ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1206 โดยนักบวชท่านหนึ่ง และในช่วงระหว่างนั้นจนถึง ยุคเมจิ ภูเขาไฟฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งห้ามผู้หญิงขึ้นเขา โดยในปัจจุบัน ภูเขาไฟฟูจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของ ประเทศญี่ปุ่น ภูเขาไฟฟูจิได้เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะเห็นได้จากในงานเขียนหรือภาพวาดต่างๆ โดยเฉพาะภาพวาดของ โฮะกุไซ ที่มีให้เห็นในวรรณกรรมญี่ปุ่นและกาพย์กลอนที่สำคัญมากมาย ภูเขาไฟฟูจิยังเป็นฐานทัพของซามูไรในอดีตใช้เป็นที่ฝึกฝน ซึ่งในปัจจุบัน ฐานทัพหนึ่งของกองทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่บริเวณตีนภูเขาไฟฟูจิ
                           ถ่ายภาพร่วมกับคณะนักศึกษา

รูปแบบภูเขาไฟฟุจิและกิจกรรมต่อเนื่องเป็นแรงบันดาลใจจนกลายเป็นวิถีปฏิบัติทางศาสนาที่เชื่อมโยงผู้คนที่นับถือศาสนาชินโต พุทธศาสนา และธรรมชาติเข้าด้วยกัน ภูเขาไฟฟุจิยังเป็นแรงบันดาลใจต่อศิลปินในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในการผลิตภาพเขียนที่มีลักษณะทางวัฒนธรรม ซึ่งทำให้ภูเขาไฟลูกนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทั้งนี้ ภูเขาไฟฟุจิซึ่งมีความสูง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ เป็นหนึ่งในทัศนียภาพที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น จากการที่มีหิมะปกคลุมบริเวณยอดเขา ทำให้กลายเป็นจุดดึงดูดผู้คนมานานหลายร้อยปี


ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 37  กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้ภูเขาไฟฟูจิเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม ในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ภายใต้ชื่อ "ฟูจิซัง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งที่มาของความบันดาลใจทางศิลปะ" ทำให้ภูเขาไฟฟูจิเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม แห่งที่ 13 และเป็น มรดกโลก แห่งที่ 17 ของ ประเทศญี่ปุ่น โดยผ่านหลักเกณฑ์การพิจารณา เช่น เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว เป็นต้น


วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ทำบุญประจำเดือน

8 กรกฎาคม 2561 คณะชมรมชาวอีสานล้านช้าง พร้อมกันทำบุญและร่วมถวายภัตตาหารเพล แด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ประจำเดือนกรกฎาคม 2561 และมีเจ้าภาพถวายหีบทองศพ(โลงศพเย็น)ในวันนี้ ณ คณะ 14  วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน..

กิจกรรมการทำบุญและถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ จะมีประจำทุกเดือน โดยจัดกิจกรรมในวันอาทิตย์ที่ ๒ ของทุกเดือนเพื่อเป็นศูนย์รวม การพบปะ สังสรรค์ ของชาวอีสาน เสร็จแล้วรับประทานอาหารร่วมกัน
นอกจากนี้ในภาคบ่าย ยังมีการปฎิบัติธรรม ตามแนวอานาปานสติ ซึ่งเป็นโครงการปฏิบัติธรรมดังกล่าว ได้ดำเนินการมาเป็นเวลานานกว่า ๔ ปี แล้ว

ผู้ที่ประสงค์จะร่วมโครงการปฏิบัติธรรม สามารถมาร่วมกิจกรรมได้ทุกวันอาทิตย์เริ่มตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๗.๐๐ นาฬิกา ณ คณะ ๑๔ วัดชนะสงคราม บางลำภู กรุงเทพมหานคร

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เที่ยววัดพระธาตุลำปางหลวง

ในการเดินทางไปเชียงใหม่ในครั้งนี้ ตั้งใจไว้ว่าจะพาลูกสาวไปกราบสักการะพระแก้วมรกตที่วัดพระธานตุลำปางหลวง ให้ได้ เพราะตั้งใจมานานแล้ว ไม่มีโอกาสสักที
จึงได้นัดเพื่อนที่เคยร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมเรียน และอยู่ด้วยกันมานาน และได้เกษียณอายุราชการแล้ว เพือนคนนี้เรารักกันมาก แต่ด้วยงานราชการ จึงได้แยกย้ายกีนไปคนละทิศละทาง
แต่ความรักความสัมพันธ์เราก็ยังมีต่อกันไม่เสื่อมคลาย ทุกปีถ้ามีโอกาสไปเชียงใหม่ ก็จะนัดพบกันและทานอาหารด้วยกันทุกครั้ง จนครอบครัวเราทั้งสอง ไม่ว่าภรรยา และลูก ๆ ต่างก็สนินชิดเชื้อกัน
เพื่อนก็ได้นัดมาเจอกันที่วัดพระธาตุลำปางหลวง พาเข้ากราบสักการะพระแก้วมรกต และศาลที่สำคัญ ๆ ของวัดพระธาตุ และเข้าไปกราบพระแก้วมรกตองค์จริง ซึ่งอยู่ในพระวิหารเล็กต่างหาก มีกรงเหล็กล้อมรอบไว้หนาแน่น เพื่อป้องกันการลักองค์พระแก้วมรกต ไป



ส่วนตำนานพระแก้วมรกต วัดพระธาตุลำปางหลวง มีความเป็นมาดังนี้
                จากตำนานพระแก้วมรกตของวัดพระธาตุลำปางหลวงกล่าวไว้ว่า เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานล่วงไปได้ 1000 ปี ศิษย์แห่งตถาคตได้จุติจากดาวดึงส์มาเกิดที่เมืองกุกุตนคร เมื่อจำเริญวัยขึ้นมาจักบวชเป็นภิกษุสงฆ์ตั้งอยู่ในสมณะเพศจนได้เป็น “เถร”
                บนสวรรค์เทพธิดาองค์หนึ่งก็ได้จุติลงมาเกิดในเมืองกุกุตนครเช่นเดียวกันนางผู้นี้ชื่อว่า “สุชาดา” นางมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ได้มาเป็นอุปัฏฐากพระมหาธาตุเจ้าวัดม่อนดอนเต้า (วัดพระแก้วดอนเต้า) และมหาเถรเจ้าองค์นี้ด้วย
                อยู่ต่อมาวันหนึ่งพระมหาเถร มีจิตปฎิสนธิ์ให้คิดอยากจะสร้างพระพุทธรูปสักองค์หนึ่งแต่ยังหาวัตถุสิ่งใดที่จะแกะสลักหาได้ไม่ คราวนั้นมีพระยานาคตนหนึ่งอยู่รักษาในแม่น้ำวังกะนะที (แม่น้ำวัง) ได้นำเอาแก้วมรกตลูกหนึ่ง สุกใสเปล่งประกายรัศมีสวยงามมากมาจากเมืองนาคของพระองค์ พระยานาคก็เอาแก้วมรกตลูกนั้นใส่เข้าในหมากเต้า (แตงโม) ในไร่ของนางสุชาดา
                เช้าวันรุ่งขึ้นวันหนึ่งนางสุชาดาก็เข้าไปในไร่เก็บดอกไม้เพื่อเอาไปบูชาพระมหาธาตุและถวายพระมหาเถร พลันนางสะดุดพบหมากเต้าลูกหนึ่งมีสีสันสุกใสผิดแผกกว่าลูกอื่น ๆ นางจึงนำมาวัดมหาธาตุดอนเต้า แล้วถวายให้แก่พระมหาเถร
                เมื่อผ่าออกมาปรากฏมีแก้วมรกตลูกหนึ่งอยู่ในแตงโม พระมหาเถรและนางสุชาดาเมื่อได้เห็นแก้วมรกตนั้นแล้วก็ให้มีความปลื้มปิติเป็นอย่างมาก ส่วนพระมหาเถรเมื่อได้แก้วมรกตมาแล้วก็พยายามแกะสลักเป็นพระพุทธรูป แต่สลักอย่างใดก็หาเข้าไม่พระมหาเถรพยายามสลักอยู่หลายวันก็ไม่สำเร็จ
                วันหนึ่งขณะกำลังพิจารณาหาทางที่จะสลักแก้วมรกตอยู่หน้ากุฏิ ก็มีชายแก่คนหนึ่งมาจากไหนไม่ปรากฏรับอาสาที่จะสลักแก้วมรกตลูกนั้นให้เป็นพระพุทธรูป เมื่อมหาเถรเข้าไปเพื่อที่จะเอาเครื่องมือให้แก่ชายคนแก่นั้นครั้นกลับออกมาก็แลเห็นองค์พระพุทธรูปแก้วมรกตมีสีสันสุกใส วรรณผ่องใสเปล่งประกายกับแสงสวยสดงดงามมากยิ่งนัก
                แต่พระมหาเถรมองหาชายแก่ในที่นั้นไม่พบ ก็ออกเที่ยวตามหาจนทั่วบริเวณก็หาพบไม่ พระมหาเถรจึงคิดว่าชะรอยว่าพระอินทร์และเทวดาลงมาช่วยเนรมิตให้แก้วมรกตลูกนั้นให้เป็นพระพุทธรูป พระมหาเถรและนางสุชาดาต่างก็มีความยินดีเป็นอันมาก กิติศัพท์เรื่องพระแก้วมรกตได้ร่ำลือไปทั่วหมู่บ้านและหัวเมือง ประชาชนจากที่ต่าง ๆ ก็ทยอยมาทำการสักการบูชากราบไหว้พระแก้วมรกตเป็นอันมาก ส่วนพระมหาเถรและนางสุชาดาก็ได้ร่วมกันจัดงานสมโภชพระพุทธรูปแก้วมรกตนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาสวดสมโภช สถานที่แห่งนี้จึงมีชื่อเรียกกันต่อมาว่า “วัดพระแก้วดอนเต้า” จนทุกวันนี้
                ล่วงต่อมามีบุคคลบางพวกบางหมู่ ได้เล่าลือกันว่าพระมหาเถรและนางสุชาดาเป็นชู้กัน เป็นที่เสื่อมเสียแก่พระศาสนา ข่าวลือดังกล่าวทราบถึงอำมาตย์เสนาของเจ้าปกครองเมืองนั้น ได้นำความขึ้นกราบทูลเจ้าผู้ครองนครให้ทรงทราบ พระองค์เมื่อได้รับฟังเรื่องราวนั้นแล้วหาได้ทรงพิจารณาหาข้อเท็จจริงให้ถ่องแท้ไม่ ทรงบัญชาให้เพชฌฆาตนำตัวนางสุชาดาไปประหารเสียที่ริมฝั่งน้ำแม่วังคะนะที
                ก่อนลงมือประหาร นางได้ตั้งสัตย์อธิษฐานว่า ถ้าข้าเป็นชู้กับพระมหาเถรจริงตามคำกล่าวหาก็ขอให้เลือดของข้าพุ่งสู่พื้นดิน แต่ถ้าตัวข้ามิได้เป็นชู้กับพระมหาเถร ก็ขอให้เลือดของข้าพุ่งขึ้นสู่อากาศ อย่าได้ตกสู่พื้นดินเลย
                เมื่อเพชฌฆาตประหารฟันคอนางขาด ปรากฏว่าเลือดของนางพุ่งขึ้นสู่อากาศโดยไม่ตกสู่พื้นดินแม้สักหยด
                เพชฌฆาตเห็นเหตุการณ์อย่างนั้นก็นำเหตุการณ์ไปกราบทูลให้เจ้านครให้ทรงทราบเมื่อพระองค์ทรงทราบเหตุการณ์เช่นนั้นทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก ลุกขึ้นจากแท่นแล้วก็วิ่งไปมาล้มลงขาดใจตายในบัดนั้น
                พระมหาเถรเกรงว่าจะมีภัย ก็หนีออกจากวัดพระแก้วดอนเต้าพร้อมกับนำพระพุทธรูปพระแก้วมรกตไปด้วย หนีไปพำนักอยู่วัดลัมภะกัปปะ (วัดพระธาตุลำปางหลวง) ดังนั้นพระพุทะรูปแก้วมรกตองค์นั้นจึงได้สถิตประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวงมาจนตราบเท่าทุกวันนี้



ภาพลูกสาว และคุณแม่กับหลานชาย 
ถ่ายภาพร่วมกับพี่ประโยชน์ ต๊ะยศ

หลานสาว หลานชาย และลูกสาว

วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ลูกสาวอยากไปเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่อีกครั้ง หลังจากไปมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังหลงไหลในวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยว และภูมิอากาศ  โดยอยากไปทำบุญที่วัดสันป่าตึง ที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่

ได้ทราบว่า...คุณแม่ได้ไปบนต่อหน้าสรีระของหลวงปู่หล้า ตาทิพย์อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าตึง ไว้ และคำที่ขอไว้ ปรากฎว่าได้สำเร็จสมประสงค์ แต่ก็ผ่านมาหลายปีดีดัก ไม่มีโอกาสได้ไปกราบสักการะและแก้บนสักที

คุณแม่ก็บ่นตลอดมาว่า...อยากไปกราบสักการะหลวงปู่หล้า ตาทิพย์ และแก้บนให้เสร็จ เพราะปล่อยระยะเวลาล่วงเลยมานานแล้ว ทำให้ตัวเองไม่ค่อยสบายใจ

จึงได้มีการวางแผนที่จะเดินทางไปเชียงใหม่ในครั้งนี้ โดยลูกสาวทั้งสาม อยากให้ขับรถยนต์ไป และแวะเที่ยวไปตามเส้นทางจากกรุงเทพฯ - ไปถึงจังหวัดเชียงใหม่

การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว โดยเดินทางออกจากบ้านพักตั้งแต่หกโมงเช้า ไปตามเส้นทางสายทางด่วนปางปะอิน -สาย ๓๐๔ - และเข้าถนนสายเอเชีย -อยุธยา-อ่างทอง - สิงห์บุรี -นครสวรรค์ -กำแพงเพชร -ตาก -ลำปาง - ลำพูน -เชียงใหม่

สถานที่แห่งแรกที่ลูก ๆ อยากจะเข้าไปเที่ยวเหลือเกิน ได้แก่อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ซึ่งเป็นสถานที่ไ้ดรับการประกาศให้เป็น...มรดกโลก... เคยผ่านมาหลายครั้ง แต่ไม่มีโอกาสสักที วันนี้จึงได้พาลูก ๆ เข้ามาเที่ยว

ไม่น่าเชื่อว่า สถานที่แห่งนี้ ร่มรืน สวยงาม เงียบสงบ เป็นธรรมชาติดี การจัดผังของเมืองตามแปลนสวยงามมาก แสดงออกถึงความเจริญของชาวไทยสมัยโบราณ มีการจัดผังเมืองมาเนินนานแล่ว มีศิลปะ วัฒนธรรม เป็นของตนเอง แม้จะมีศิลปสมัยขอมมาปะปนมั่ง แต่ก็เป็นการประยุกต์เข้าด้วยกัน



อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองฯ จังหวัดกำแพงเพชร ทางฝั่งตะวันออกขอแม่น้ำปิง แบ่งออก เป็น ๒ เขต คือ เขตภาย ในกำแพงเมืองมีพื้นที่ ๕๐๓ ไร่ และเขตนอกกำแพงเมืองหรือที่เรียกกันว่า เขตอรัญญิก ตั้งอยู่บนเขาลูกรังขนาดย่อม มีพื้นที่ ๑,๖๑๑ ไร่ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรประกอบด้วยกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นศาสนสถานเป็นส่วนมากได้รับการ ประกาศให้เป็น "มรดกโลก" ร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2534







                                         สภาพวัดยังพอมีหลงเหลือให้เห็น



อุทยานประวัติศาสตร์เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ชาวไทยควรจะได้เข้าไปท่องเที่ยว และซึมซับกับประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม และความเจริญงอกงามโบราณสถานแและวัตถุที่บรรพบุรุษของไทยได้สร้างสรรมาและตกมรดกของลูกหลานชาวไทย และมรดกโลก

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วัดที่คนไม่เคยไป

ไปเที่ยวอยุธยาหลายครั้ง ส่วนมากจะไปวัดที่สำคัญ ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัดพนัญเชิง วัดไชยมงคล วัดมหาธาตุ วัดเชิงท่า วัดท่าการ้องฯลฯ

นอกนั้น ก็จะไปวัดที่มีชื่อเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยสมัยอยุธยา
มีอยู่วัดหนึ่ง ซึ่งตามตารางการไปทำบุญครั้งนี้ไม่ได้กำหนดไว้ แต่เป็นวัดที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยเข้าไป
เป็นที่วัดที่อยู่นอกเขตเมือง ตั้งอยู่เลยวัดไชยวนารามไป ซึ่งพวกเราตั้งใจจะไปวัดสำเภาล้ม แต่ไปไม่ถึง ปรากฎว่าเจอวัดนี้ก่อนคือ...วัดกลางคลองตะเคียน



ภายในเงียบสงบ...แต่บนศาลการเปรียญ ทางวัดได้สถานที่ได้ดีมากๆ พวกเราเห็น พากันตกใจเลยว่า...ที่อยุธยา ยังมีวัดสวยมากเช่นนี้อยู่หรือ


บนศาลาตกแต่งสวยงาม มีสถานที่สำคัญหลายอย่างที่นำมาจำลองไว้ สถานที่ทำบุญก็มีหลายแบบ สามารถที่จะเลือกทำได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นผ้าป่า หยอดกระปุก ใส่บาตรสามเณรน้อย ทำบุญโลงศพ ขอพรพระเจ้าทันใจ ก็ได้ มีหลากหลาย

ประวัติของวัด
  
             วัดกลางคลองตะเคียนตั้งอยู่เลขที่ 1 ปากคลองตะเคียนบน เป็นชุมชนคลองมอญบ้านเหนือ หมู่ที่ 13 ตำบลปากกราน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินทั้งหมด 49 ไร่ (ปัจจุบันเหลืออยู่ 47 ไร่)
            พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่ม อยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำเจ้าพระยาห่างประมาณ 500 เมตร ด้านทิศเหนือวัด จรดกับหมู่บ้านชายไทยอิสลาม หมู่ที่ 14 ตำบลปากกราน ทิศใต้จรดหมู่บ้านคลองมอญ (ไทย-พุทธ) ทิศตะวันออกจรดกับลำคลองตะเคียน ทิศตะวันตกจรดกับตำบลบ้านป้อม 
              วัดกลางคลองตะเคียน ชาวบ้านเรียกอีกนามหนึ่งว่า ?วัดกลางปากกราน? เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นซึ่งสร้างคู่กับวัดนาค (ปัจจุบันเป็นวัดร้าง) ชาวบ้านจะเรียกชื่อวัดทั้งสองว่า วัดนาควัดกลาง หรือวัดกลางวัดนาค ตั้งอยู่ท่ามกลางชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยคริสต์
             เมื่อพ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยากลายสภาพเป็นเมืองแตก วัดหลายวัดได้กลายสภาพเป็นวัดร้างเพราะการศึกสงคราม วัดกลางคลองตะเคียนก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่เสื่อมโทรมแทบจะร้าง ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2430 ได้รับการบูรณะพัฒนาโดยย้ายเสนาสนะต่าง ๆ ทั้งกุฏิ ศาลาการเปรียญ อุโบสถ ฯ จากพื้นที่ตั้งวัดด้านทิศตะวันตกมาทำการก่อสร้างใหม่ทั้งหมดทางทิศตะวันออก ติดกับลำคลองตะเคียน ซึ่งมีหลวงปู่เหมือนเป็นเจ้าอาวาส ได้ดำเนินการร่วมกับพระบำราญคดีจีน นายอากรสารายาฝิ่น นางทับทิมภรรยา และนางเขียนแม่ยาย ได้บริจาคทรัพย์อุปถัมภ์ในการก่อสร้างและได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาอุโบสถ ที่สร้างใหม่ ตามหนังสือที่ 46/78 ลงวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2441 จากนั้นวัดกลางคลองตะเคียน (กลางปากกราน) ก็ได้รับการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ




แต่เสียดายวันนั้น ปรากฎว่าขณะที่ทำบุญไหว้พระอยู่ ฝนตกลงมา ไฟฟ้าดับ ทำให้ทั่วศาลามืดสนิท ทำให้พวกเราต้องรีบลงจากศาลาเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้

ยังมีสถานที่อีกหลายแห่ง ที่เราไม่ได้ไปสักการะ และทำบุญ เสียดาย...โอกาสหน้าจะต้องไปเที่ยวอีกครา






                                                     ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกับดาราหน่อย