วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563

พระธาตุพนม

          พระธาตุพนม ถือว่าเป็นพระธาตุที่เก่าแก่ คู่บ้านคูเมืองของชาวอีสานและชาวลาว มาตั้งแต่ครั้งโบราณ หากใครได้มีโอกาสไปกราบสักการะสักครั้งในชีวิต ก็จะเป็นบุญตาและเป็นสิริมงคลของชีวิตเป็นอย่างยิ่ง คุณยายที่บ้านเคยบ่นอยากไปกราบสักการะสักครั้ง ลูกหลานจะพาไป แต่ไม่พาไปสักที จนปัจจุบันคุณยายอายุปาเข้า ๘๐ กว่าปีแล้ว ยังไม่ได้กราบสักการะสักครา


        พระธาตุพนม เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ของภาคอีสาน ประดิษฐานบนเนินที่เรียกว่าภูกำพร้า ปัจจุบันเป็นบริเวณวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมราว 52 กิโลเมตร พระธาตุพนมสร้างขึ้นแต่สมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ประมาณ พ.ศ. 8 โดยเจ้าเมือง 5 องค์คือ พระยาสุวรรณภิงคารนะ พระยาคำแดง พระยาอินทปัตถะนคร พระยาจุลนีพรหมทัต และพระยานันทเสน เพื่อบรรจุพระอุงรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้า

 ลักษณะพระเจดีย์เป็นเจดีย์ทรงบัวเหลี่ยม หรือทรงแจกัน ก่อด้วยอิฐมีลวดลายจำหลักลงไปในแผ่นอิฐ มีซุ้มคั่นด้านละซุ้ม ซ้อมกัน 3 ชั้น ลดหลั่นกันลงมาอย่างวิจิตร 


พระธาตุพนมได้รับการบูรณะเรื่อยมาตามกาลเวลา และในวันที่ 11 สิงหาคม 2518 องค์พระธาตุพนมได้หักโค่นลง ประชาชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศได้ร่วมกันสละทุนทรัพย์ก่อสร้างขึ้นใหม่ และมีพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นบรรจุอีกครั้งในวันที่ 23 มีนาคม 2522 

นอกจากนั้นยังมีทรัพย์สมบัติอีกหลายหมื่นชิ้นที่ชาวไทยถวายบรรจุไว้เป็นพุทธบูชา เฉพาะยอดฉัตรทองคำมีน้ำหนักถึง 110 กิโลกรัม องค์พระธาตุพนมนอกจากจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของชนชาวพุทธแล้ว รูปแบบการก่อสร้างขององค์พระธาตุพนมยังเป็นต้นแบบให้กับการก่อสร้างพุทธเจดีย์ในภาคอีสานและในลาวอีกมากมายหลายแห่ง

ประเพณีนมัสการพระธาตุพนม เป็นประเพณีประจำปีสมโภชองค์พระธาตุพนมปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ของประชาชนไทยลาวสองฟากฝั่งโขง

ในวันงานประเพณีประชาชนจากทุกสารทิศทั่วอีสานของไทย และชาวลาวฟากตรงข้ามต่างเดินทางกันมาร่วมพิธีกรรมมากมายมืดฟ้ามัวดิน การมหรสพสมโภชคึกคักสนุกสนานจัดเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสานงานหนึ่ง

วันเวลาจัดพิธีกรรม
วันขึ้น 12 ค่ำ ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี

รูปแบบประเพณี

ในวันขึ้น 12 ค่ำ ต่อวันแรม 1 ค่ำ พุทธศาสนิกชนจะแต่งกายชุดขาวไปกราบไหว้นมัสการองค์พระธาตุพนม และถือศีลปฏิบัติธรรมที่วัดตลอด 5 วัน ในวันขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งเป็นวันวิสาขะ ชาวบ้านจะเวียนเทียนรอบองค์พระกันอย่างคับคั่ง และในวันรุ่งขึ้นแรม 1 ค่ำ จะมีการรำบูชาองค์พระธาตุพนมจากชุมชนต่าง ๆ ในจังหวัดนครพนมถ้วนหน้า

จุดเด่นของพิธีกรรม
คือการรำบวงสรวงองค์พระธาตุพนม โดยกลุ่มชาวพื้นเมืองหลากหลายของจังหวัดนครพนม โดยเฉพาะชาวผู้ไทเรณูนครที่มีกระบวนฟ้อนเรณูที่สวยงามอย่างยิ่งที่จะมาอวดลีลาการร่ายรำอันยอดเยี่ยมชนิดหาชมที่ใดอีกไม่ได้ นอกจากนั้นกลุ่มชาวไทยย้อ จากอำเภอท่าอุเทน ชาวบ้านธาตุและชาวอำเภอเมืองก็จะจัดกระบวนรำมาประกวดประชันกันเป็นพิเศษ (จาก...https://www.ku.ac.th/e-magazine)




เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา ไม่ได้นึกฝันมาก่อน ว่าจะได้มีโอกาสมากราบสักการะพระธาตุพนม หลังจากที่เคยไปกราบไหว้มาแล้ว สมัยที่เคยย้ายไปปฏิบัติงานที่จังหวัดอำนาจเจริญ ประมาณปี พ.ศ.๒๕๔๔

ในการมากราบไหว้ครั้งนี้ ได้ร่วมเดินทางมาตรวจราชการกับท่านผู้ตรวจการอัยการ ได้รับความอนุเคราะห์จากคณะข้าราชการในพื้นที่ ได้ทำพิธีถวายผ้าห่มองค์พระธาตุ โดยมีการจารึกชื่อไว้ในผืนผ้า เสร็จแล้วนำมาถวายพระสงฆ์ ซึ่งได้พานำกล่าวคำถวายผ้าห่มองค์พระธาตุ เสร็จแล้วได้นำพาคณะเวียนประทักษิณรอบองค์พระธาตุพนม จำนวน  ๓ รอบ



ในการเวียนประทักษิณดังกล่าว รอบแรกพระคุณเจ้าได้นำสวดบทพระพุทธคุณ รอบที่ ๒ นำสวดบทพระธรรมคุณ และรอบที่ ๓ นำสวดบทพระสังฆคุณ เสร็จแล้ว ได้นำผ้าห่มรอบองค์พระธาตุพนม เป็นอันเสร็จพิธี

นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสเข้าไปบรเิวณด้านใน ซึ่งตามปกติแล้วจะเป็นเขตหวงห้าม เข้าไปได้เฉพาะที่ได้รับอนุญาตเท่านั่น โดยเดินเวียนปทักษิณ ๓ รอบ และบันไดไต่ขึ้นไปบนยอดของพระธาตุเจดีย์ด้วย ล้อมรอบพระธาตุ จะมีพระพุทธรูป และวัตถุมงคลจำนวนมากมายที่มีผู้มีจิตศรัทธานำมาถวายและวางล้อมรอบองค์พระธาตุ








นับว่าเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นโอกาสอันดีที่ได้มีโอกาสได้มากราบสักการะในครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณท่านผู้ตจรวจการอัยการ และคณะข้าราชการทุกท่านที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านมา ณ โอกาสนี้



ดูสถานที่สร้างวัด

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา พระอาจารย์มหาใจ เขมจิตโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ได้นำพาญาติโยมเดินทางไปที่อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เพื่อไปดูสถานที่สำหรับการก่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรม


พระอาจารย์ท่านปรารภมาตลอดเวลาว่า อยากได้สถานที่เพื่อจัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมเป็นของตนเอง สถานที่ควรไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร มากนัก พื้นที่ท่านชอบมากที่สุด และพูดถึงอยู่บ่อย ๆ คือ พื้นที่แถวบริเวณเขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

ผู้เขียนได้เรียนให้ท่านได้ทราบว่า สถานที่บริเวณดังกล่าว ราคาแพงและเป็นที่นิยมของผู้มีฐานะร่ำรวย ส่วนมากจะไปซื้อไว้ปลูกบ้านพักส่วนตัว หรือรีสอร์ท ไว้พักในช่วงพักร้อนหรือช่วงฤดูหนาว การที่จะที่ดินบริเวณดังกล่าว จึงค่อนข้างจะหายาก เว้นแต่จะมีผู้บริจาคเท่านั่น

เท่าที่ทราบได้ข่าวว่า มีโยมบริจาคที่ดินให้ท่านแล้วจำนวน ๒ แปลง แปลงที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดหนองคาย และแปลงที่ ๒ คือสถานที่ที่จะไปดูในครั้งนี้
ออกเดินทางตั้งแต่เวลาหกโมงเช้า โดยเช้่ารถตู้จำนวน ๑ คัน มีโยมเดินทางไปด้วยรวมจำนวน ๖ ท่าน ไปตามเส้นทางถนนบรมราชีนี -ผ่านจังหวัดนครปฐม - เข้าราชบุรี และได้แวะไปที่บ้านพักของเจ้าที่ดินที่จะบริจาคในครั้งนี้






หลังจากพักผ่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเจ้าของที่ดินที่จะบริจาค ได้นำพาไปยังสถานที่ดังกล่าว โดยไปตามเส้นทางราชบุรี -จอมบึง ปรากฎว่า เป็นวันที่มีการจัด "จอมบึงมาราธอน " ด้วย มีการปิดถนน ต้องขับรถอ้อมไปทางอื่น ทำให้เสียเวลาและหลงทาง

ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็เดินทางไปถึงบริเวณสถานที่ที่ดินดังกล่าว ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 150 เมตร ที่ดินมีเนื้อที่ประมาณ ๑๕ ไร่ ในช่วงนี้ให้คนอื่นเช่าปลูกมันสำปะหลั่ง และข้าวโพด มีการจัดทำถนนล้อมรอบที่ดินไว้เรียบเร้อย มุมด้านทิศใต้และตะวันออก มีการขุดสระน้ำไว้เป็นที่เรียบร้อย เพื่อใช้ในการรดต้นไม้ และใช้สอยต่าง ๆ

หากดูสถานที่แล้ว ก็มีความเหมาะสมที่จะจัดตั้งสำนักปฏิับัติธรรมได้ คงต้องใช้เวลาในการปลูกตนใหม้ การปรับปรุงพื้นที่อีกระยะหนึ่ง นอกจากนี้จะต้องมีการก่อสร้างกุฎิ ศาลา ห้องน้ำ และที่พักปฏิบัติธรรมอีกหลายส่วน

หากดูดินแล้ว จะมีความแห้งแล้งอยู่บ้าง ที่ดินมีหินปนทราย แต่ดูต้นไม้ และต้นมะพร้าว มะม่วง และมะนาว จะเห็นว่า ต้นไม้เขียวชะอุ่ม ผลหมกรากไม้ก็บริบูรณ์ดี น้ำที่อยู่ในสระน้ำก็มีเต็มพื้นที่ แสดงว่าที่ดินมีความสมบูรณ์ในการที่จะปลูกต้นไม้และพืชผักได้






นอกจากนี้ ยังได้มีการปลูกต้นโพธิ์ไว้เป็นท่ี่ระลึกบริเวณปากทางที่จะเข้าสู่ที่ดินจำนวน ๑ ต้น และต้นหมากอีกจำนวน ๑ ต้น

พระอาจารย์บอกว่า หากยังไม่มีการก่อสร้าง ให้ปลูกต้นโพธิ์ไว้บริเวณปากทางเข้า หากมีการก่อสร้างจะต้องนำต้นโพธิ์ไปปลูกที่บริเวณตรงกลางพื้นที่

ต้องอนุโมใทนาบุญกับท่านเจ้าของที่ดิน ทีมีจิตศรัทธาที่จะบริจาคให้กับพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ครับ !!!






                                                   พระอาจารย์และญาติโยมตรวจดูสถานที่

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2562

เดินทางด้วยรถไฟฟ้า

เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา ได้ไปร่วมทัศนศึกษาและดูงาน กับนักศึกษาหลักสูตร " วิทันตสาสมาธิสำหรับนักบริหาร " รุนที่ ๙ ของสถาบันพระปกเกล้า ที่วัดธรรมมงคล พระโขนง กรุงเทพมหานคร โดยนัดพร้อมกันเวลา ๐๗.๐๐ นาฬิกา ณ เต้นหน้าศาลาการเปรียญ

ตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่ง อาบน้ำแต่งตัวแล้ว ขึ้นรถมอเตอร์ไซ หน้าหมู่บ้าน ไปที่หน้าปากซอย และขึ้นรถเมล์สาย ๙๗ ไปต่อรถไฟฟ้า BTS ที่สถานนีซอยอารีย์สัมพันธ์ ไปลงที่สถานีปปุณณวิถี ราคารถไฟฟ้า เป็นเงิน ๕๙ บาท



การเดินทางในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ ถนนหนทางรถไม่ติดมาก ยิ่งช่วงแต่เช้ายิ่งไม่มีปัญหาการจราจรมากนัก ทำให้การเดินทางไป-มาสะดวก ที่สถานีรถไฟฟ้า ช่วงเช้าคนไม่มากนัก ทำให้การเดินทางเข้าสถานีเป็นไปด้วยความสะดวก

นับเป็นครั้งแรกที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าด้วยตนเอง ทุกครั้งจะมีลูกสาวติดตามมาด้วย ทำให้การเดินทางไม่ค่อยสะดวก ไม่ค่อยได้เดินทางด้วยรถไฟฟ้าเท่าใด ตามปกติรถไฟฟ้า จะให้ผู้โดยสารหยอดเหรียญเอง แต่เราไม่ค่อยถนัด แถมไม่มีเหรียญอีกด้วย ไปซื้อตั่๋วหน้าเคาร์เตอร์สะดวกกว่า เดินทางถึงสถานีปุณณวิถีเวลาประมาณ ๐๖.๓๐ นาฬิกา

ตามกำหนดการได้แจ้งมาว่า การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าให้ไปลงที่สถานีปุณณวิถี ออกทางประตู ๑ และเดินย้อนมาที่ปากซอย ๑๐๑ จะมีรถกระป็อก และมอเตอร์ไซรับจ้าง ไปลงที่วัดธรรมมงคลได้สะดวก จึงได้เดินทางไปตามแผนที่ที่กำหนด พอไปถึงปากซอย ปรากฎว่า ไม่ทราบจุดที่จอดรถประจำทาง สังเกตุที่ผู้โดยสาร แต่ละคนก็ยืนไม่เป็นที่แน่นอน

พอยืนได้พักหนึ่ง ปรากฎว่า ถัดไปมีมอเตอร์ไซรับจ้างจอดรับผู้โดยสาร พอเราเดินทางไปยืนตรงดังกล่าว ปรากฎว่ารถไม่ยอมจอดรับ บอกว่าต้องเดินกลับไปที่เดิม สอบถามแม่ค้าแถวนั่น บอกว่าเขาจอดรับไม่แน่นอน อ้าว !  เป็นงั้นไป



ถามแม่ค้าว่า...ไปวัดธรรมมงคลไกลมัย ..แม่ค้าบอกว่าประมาณ ๓ ป้ายรถเมล์ ตกลงเดินทางไปด้วยตนเองดีกว่า ตกลงเดินไป สองข้างทางมีแม่ค้าขายของตามรายทาง นอกนั่น ก็มีพระคุณเจ้าเดินบิณฑบาต ไปตามรายทาง

การเดินทางตอนเช้า สะดวกดีเช่นนี้เอง ไม่ต้องนำรถยนต์ส่วนมาให้ลำบาก การใช้รถยนต์สาธารณะหากรถไม่ติด ก็ทำให้การเดินทางสะดวก และสามารถคำนวณเวลาได้แน่นอนเช่นกัน

ทำไงหนอจราจรกรุงเทพมหานคร จะไม่ติดขัดตลอดไป!!!




วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สะดือแม่น้ำโขง

เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒ ได้มีโอกาสเดินทางไปราชการแถวเขตอีสานเหนือ ได้แก่จังหวัดนครพนม หนองบัวลำภู บึงกาฬ และจังหวัดหนองคาย

สถานที่ที่น่าจะไปดูให้เห็นกับสายตา คือ "สะดือแม่น้ำโขง " ตั้งอยู่ตำบลหอคำ อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ อยากทราบว่าจะมีความกว้่างหนา และลึกแค่ไหน แม่น้ำโขงนั่น มีความยาวตั้งแต่ประเทศจีนลงมาจนถึงประเทศกัมพูชา ลงสู่ทะเล เป็นระยะทางกว่า 4,590 กิโลเมตร ผ่านประเทศจีน ลาว พม่า ประเทศไทย เวียตนาม และประเทศกัมพูชา




สะดือแม่น้ำโขง คือที่สถานที่ที่ลือกันว่า มีส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง โดยมีการทดลองวัดความลึกแล้วได้ประมาณ 200 เมตร

เมื่อไปถึงแล้ว ประตูทางเข้าจะมีวัดอาฮงศิลาวาส ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ทางเข้า มีหินก้อนใหญ่ ๆ ตั้งตระหง่าน ไม่ทราบมาได้อย่างไร พอวิ่งรถเข้าไปก็จะพบกับบริเวณจุดชมวิิว และสถานที่ชมสะดือแม่น้ำโขง มองไปทางด้านขวาก็จะพบว่ามีเกาะกลางแม่น้ำโขง อยู่ไม่ไกล



บริเวณดังกล่าวจะมีสะพานทอดลงไป เหมือนกับเป็นท่าเรือ นอกนั้นยังมีการประดับธงชาติของกลุ่มประเทศที่ตั้งอยู่ตามริมแม่น้ำโขง จำนวน 6 ประเทศ ปลิวไสว



มองไปฝั่งตรงข้ามก็จะมีวัดของประเทศลาว เป็นวัดเล็ก ๆ ที่น่าแปลกใจ มีโบสถ์ตั้งอยู่บนโขดหิน เหมือนกับมีหินทับซ้อนกันไว้ เป็นชั้น ๆ นอกนั่นก็จะมีโขดหิน ขึ้นมา เห็นเรียกว่า "แก่งอาฮง "

ในส่วนที่เป็นสะดือแม่น้ำโขง พวกเราก็ยังสงสัยว่า จะดูกันอย่างไร ถึงจะรู้ว่าเป็นสะดือ รอยืนสังเกตุดูปรากฎว่า บริเวณดังกล่าว มีน้ำไหลวนเป็นเกลียว หากมีวัสดุ กิ่งไม้ หรือเศาขยะลอยมาตามลำน้ำ เมื่อมาถึงจุดบริเวณดังกล่าว ก็จะหมุนวน และไหลย้อนกลับมาทางเดิม อยู่นานพอสมควร จึงจะไหลไปตามสายน้ำปรกติ

บริเวณสะดือแม่น้ำโขงดังกล่าว ความกว้างของแม่น้ำโขงในส่วนนี้ ถือว่าแคบมาก เปรียบดังเป็นคอขวดของแม่น้ำโขงเลยที่เดียว มีความกว้างน่าจะประมาณ 100 เมตร เท่าที่กล่าวกันมมา


                                                    มองดูไปด้านหลังจะเห็นวัดเล็ก ๆ ของประเทศลาว



 ตรงจุดนี้ เป็นจุดสุดแดนสยาม มีประตูเปิดเข้าสู่อาเซียนทางเรืออีกด้วย หากท่านมีโอกาสไปเที่ยวแถวจังหวัดบึงกาฬ ก็อย่าลืมแวะไปชมได้  ไม่ไกลจากตัวเมืองบึงกาฬมากนัก ประมาณ 21 กิโลเมตร เท่านั่นเองครับ

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

พญาศรีสัตตนาคราช


เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ ถือว่าเป็นสิริมงคลเป็นอย่างยิ่ง ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้มีโอกาสมาเยือนจังหวัดนครพนม อีกครั้ง หลังจากได้ไปเทียวครั้งสุดท้ายมานานกว่า ๑๐ ปีแล้ว


                                                 พระธาตุพนมยามค่ำสวยเด่นเป็นสง่า

บ้านเมืองแปลกตาไป มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ถนนหนทางมีการพัฒนาสวยงาม กว้างขวาง ในตัวเมือง ก็มีความสะอาดสอานมากกว่าแต่เก่าก่อน

ผู้บริหารที่ร่วมเดินทางไปด้วย ท่านกล่าวว่า....จังหวัดนครพนม เป็นจังจังหวัดหนึ่งที่น่าอยู่ แม้จะมาเยือนหลายครั้งแล้ว ก็ยังอยากจะมาอีก....

บ้านเมืองมีการวางผังเมืองไว้ได้สวยงาม ถนนมีการสร้างใหม้่ กว้างขวาง มีการประดับโคมไฟ สวยงาม รอบ ๆ แม่น้ำโขงมีการสร้างถนนสำหรับขับขี่จักรยาน และมีจุดชมหวิว ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

จุดชมวิว ที่เป็นเอกลักษณ์ ได้แก่รูปพญาศรีสัตตนาคราช ที่ตั้งสวยเด่นริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของจังหวัดนครพนม ใครมาเยือนนครพนม หากไม่ได้มาสักการะพญาศรีสัตตนาคราช ก็ถือว่ายังไปไม่ถึงนครพนม




และในยามค่ำคืนของวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ ก็ได้รับความกรุณาและเมตตาจากเจ้าของถิ่น ได้นำพาไปสักการะพญาศรีสัตตนาคราช และเที่ยวชมเมืองยามราตรี ถือว่าเป็นสิริมงคงคลที่ได้มาเยือนถิ่นเมืองเก่า นครพนม ในครั้งนี้

หากท่านใดมีโอกาสไปเยือนเมืองเก่านครพนม ก็อย่าลืมไปขอพรจากพญาศรีสัตตนาคราช เพื่อเป็นสิริมงคล แก่ชี้วิตและครอบครัว ครับ !!!


ประวัติพญาศรีสัตตนาคราช (จากเว็บไซต์... ทีนิวดอทคอม)

พญาศรีสัตตนาคราชเป็นหนึ่งในพญานาคผู้มีฤทธิ์ ทรงศักดาอานุภาพ นามของพญาศรีสัตตฯ นี้ก็ปรากฏพบในตำนานอุรังคธาตุเช่นกันความดังนี้ว่า.....

พระศาสดา ก็เสด็จไปสู้ดอยนันทกังรี ซึ่งเป็นที่อยู่ของนางนันทยักษ์แต่ก่อน มีนาคตัวหนึ่ง 7 หัว ชื่อว่าศรีสัตตนาค เข้ามาทูลขอให้พระศาสดาทรงย่ำรอยพระบาทไว้ ณ ที่นั้น ทรงก้าวพระบาทข้ามตีนดอยก้ำขวาแล้วทรงแย้มพระโอฐ เจ้าอานนท์กราบทูลถาม ตถาคตตรัสว่า เราเห็นนาค 7 หัวเป็นนิมิต ต่อไปภายหน้าที่นี้จักบังเกิดเป็นเมือง มีชื่อว่าเมืองศรีสัตตนาค
เผ่าพันธุ์ของพญามุจลินท์นาคราช คือ พญานาค เศียร ได้สืบสายพันธุ์มาจนถึง พญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) เชื่อกันว่าเป็นกษัตริย์แห่งพญานาคฝั่งลาว ส่วนฝั่งไทยนั้นมี พญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) เป็น กษัตริย์พญานาคฝั่งไทย แต่เป็นพญานาคเศียรเดียว ซึ่งเล่ากันว่า สองราชาพญานาคคู่นี้เป็นสหายรักกันมาก

โดยมีเรื่องของราชาแห่งนาคทั้งสองตนนี้โดยทางด้านหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดัง อดีตเจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย ได้เล่าเอาไว้ดังต่อไปนี

ในผืนน้ำของประเทศไทยเรา มีพญานาคราชเป็นใหญ่นามกรว่า พญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) ชอบการจำศีลบำเพ็ญเพียร และปฏิบัติธรรม นิสัยอ่อนโยนมีเมตตา ไม่ชอบการต่อสู้ เข้าข่ายเป็นพญานาคผู้น่านับถือเป็นอย่างยิ่ง ส่วนฝั่งลาวนั้น มี พญาศรีสัตตนาคราช เป็นใหญ่เหนือพญานาคทั้งปวง ที่ทรงฤทธิ์มีอำนาจเหนือกว่าพญานาคทั้งหลายในสองแผ่นดินไทย-ลาว ถึงท่านเป็นพญานาคที่มีฤทธิ์เดช แต่ก็ชอบการจำศีลภาวนา และประพฤติปฏิบัติธรรมเหมือนกันกับทางด้านพญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) มีตำนานกล่าวว่าท่านชอบมาที่วัดพระธาตุพนมเหมือนกัน จนขนาดมีการตกลงกันว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการความช่วยเหลือ ก็จะช่วยกันอย่างเต็มที่เต็มกำลังความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้อยใหญ่เรื่องใดก็ตาม

ขณะที่ทางด้าน พญาศรีสัตตนาคราช มีความเด่นสง่าเหนือกว่าใครเพราะมี 7 เศียร ลำตัวเดียว ถือได้ว่าเป็นตระกูลพญานาคที่สืบสายพันธุ์มาแต่ครั้งพุทธกาล มีความใกล้ชิดพระพุทธองค์ และพระพุทธศาสนา จนอาจถือว่าเป็นต้นตระกูลแห่งพญานาคทั้งหลายทั้งปวง

หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดัง อดีตเจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย ยังได้บอกเล่าต่อว่า ส่วนใดที่อยู่ใกล้ต้นน้ำลำธาร หรือหากมีพิธีกรรมอันใดเกิดขึ้น ให้อัญเชิญบอกกล่าวแก่เหล่าพญานาค พิธีกรรมนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนทั้งสองฝั่งลำน้ำโขงนั้นให้การเคารพศรัทธา องค์พญานาค เป็นอย่างยิ่ง
ปัจจุบันนี้ จังหวัดนครพนม จึงออกแบบและก่อสร้างองค์พญาศรีสัตตนาคราช เพื่อเป็นนิมิตหมายอันดีในการสร้างสัญลักษณ์เมืองขึ้น และได้ทำการประกอบพิธีอัญเชิญองค์พญาศรีสัตตนาคราชขึ้นประดิษฐาน ท่ามกลางประชาชนชาวไทยและลาว ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้อง และ พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง จ.นครพนม และพระสงฆ์จากวัดใกล้เคียงมาร่วมในพิธี โดยทางจังหวัดได้ทำพิธีสมโภชใหญ่ พุทธาภิเษก รวม 9 วัน 9 คืน ระหว่างวันที่ 9 – 18 กันยายน ที่ผ่านมา
ภายใต้ความเชื่อเกี่ยวกับ องค์พญาศรีสัตตนาคราช ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของ จ.นครพนม 

อย่างที่ทราบกันว่าพี่น้องชาวไทยและชาวลาวล้วนมีความเชื่อผูกพันอยู่กับองค์พญานาค พอๆ กับความผูกพันในลำน้ำโขง รุ่นปู่ย่าล้วนศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของพญานาคในฐานะที่เป็นผู้ดูแลปกปักษ์รักษาแถบลุ่มน้ำโขง รักษาพุทธศาสนา รวมถึงองค์พระธาตุพนมซึ่งเป็นองค์พญานาคทองเหลืองที่ใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน
แน่นอนว่าจากประติมากรรมที่สูงค่าผนวกกับความเชื่อความศรัทธาที่มีต่อองค์พญาศรีสัตตนาคราช ย่อมส่งผลให้จังหวัดนครพนม ดินแดนแห่งลุ่มน้ำโขงกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่สร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจของจังหวัดอย่างไม่อาจปฏิเสธ ณ บริเวณที่ประดิษฐานองค์พญานาค ลานศรีสัตตนาคราช ริมฝั่งแม่น้ำโขงหน้าสำนักงานป่าไม้ ถนนสุนทรวิจิตร ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม

องค์พญาศรีสัตตนาคราช หล่อด้วยทองเหลือง มีน้ำหนักรวม9,000 กก. เป็นรูปพญานาคขดหาง 7 เศียร ประดิษฐานบนแท่นฐานแปดเหลี่ยม กว้าง 6 เมตร ความสูงทั้งหมดรวมฐาน 15 เมตร สามารถพ่นน้ำได้ 

วัตถุประสงค์การก่อสร้างครั้งนี้เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี และความเชื่อเกี่ยวต่อเรื่องพญานาคของชาวไทย และชาวลาวที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง อีกทั้งยังต้องการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนม เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นแลนมาร์กแห่งใหม่อีกจุดหนึ่งของภูมิภาคนี้

-------------------------------------------------------------------------------------------










วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2562

ปฏิบัติธรรมปี 2561 (๒)

  การปฏิบัติธรรมในวันที่ ๒ (๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๑) ของการปฏิบัติธรรม ตามกำหนดการจะต้องตื่น ๔.๐๐ นาฬิกา และเริ่มทำวัตรเช้า และสวดมนต์ตั้งแต่เวลา ๐๔.๓๐ นาฬิกา

จะต้องมีการปรับตัว เพราะไม่เคยตื่นแต่เช้าเยี่ยงนี้ ดังนั้น ท่านที่จะไปปฏิบัติธรรม การเตรียมตัวและเตรียมร่างกาย ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้

ในการมาปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ เพียงวันแรกก็มีญาติธรรมเกิดอาการป่วยแล้ว ไม่สามารถลงมาปฏิบัติธรรมกับเพื่อน ๆ ได้ ต้องพาไปพบแพทย์ จำนวน ๑ ท่าน



คืนที่ผ่านมา เนื่องจากเดินทางมาไกล และหลังจากพักช่วงบ่าย ได้ร่วมกิจกรรมทำความสะอาดบริเวณสำนักปฏิบัติธรรม ทำให้ร่างกายเหนื่อยมาก ทำให้นอนหลับสบาย และห้องข้าง ๆ ตื่นกันตั้งแต่ตี ๓ ทำให้เราพลอยต้องตื่นด้วย และเป็นการปลุกให้เราตื่นไปในตัว



อากาศในวันนี้เย็นสบาย ประมาณ ๑๘ องศา ไม่สามารถอาบน้ำตอนเช้าได้ คงทำได้แค่ล้างหนาแปรงฟังเท่านั่น เสร็จแล้วแต่งตัว ไม่ลือหนังสือสวดมนต์ ๆฟฉาย และยากันยุง เพราะช่วงหนั่งทำวัตร ยุ่งจะมีมาก รบกวนในการทำวัตรดังกล่าว

หน้าที่ที่จะต้องทำ ต้องไปเตรียมติดตั้งธุปเทียน และจัดสถานที่นั่ง เบาะสำหรับพระสงฆ์ และสามเณร และญาติธรรม บางส่วน ต้องนำหนังสือสวดมนตร์มาวาง และเตรียมตัวถือไม้ชนวน เพื่อให้ประธานสงฆ์จุดธูปเทียนในพิธี จำเป็นต้องไปถึงศาลาปฏิบัติธรรมก่อนเวลา ๐๔.๓๐ นาฬิกา


ประธานสงฆ์จะมาตรงเวลามาก พอถึงเวลา ๐๔.๓๐ นาฬิกา ท่านก็จะจุดธุปเทียน และเป็นประธานนำทำวัตรเช้า และสวดมนต์บทที่สำคัญ ๆ จะใช้เวลาในการทำวัตรสวดมนต์ประมาณ ๑ ชั้วโมง ตั้งแต่เวลา ๐๔.๓๐ - ๐๕.๓๐ นาฬิกา หลังจากนั่น จะพานั่งสมาธิประมาณ ๓๐ นาที และแผ่เมตตา

นอกจากจะสวดบททำวัตรเช้าแล้ว ประธานสงฆ์ก็จะนำสวบทพระปริตรด้วย และลงท้ายบทพระสูตรว่าด้วยอานาปานสติ หลังจากก็ให้นั่งสมาธิประมาณ ๓๐ นาที

หลังจากนั้นพระวิทยากรจะพาเดินจงกรมไปนอกสถานที่ จนกว่าจะถึงเวลาประมาณ ๗ นาฬิกา และรับประทานอาหารเช้า จึงเสร็จพิธีในภาคเช้า และให้พักผ่อนไปจนถึงเวลา ๐๘.๓๐ นาฬิกา เป็นอันเสร็จในภาคเช้าวันที่สอง







                                   พระวิทยากรและคณะญาติธรรมออกเดินจงกรมนอกสถานที่ในภาคเช้า

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2562

ปฏิธรรมประจำปี 2561

  ปลายปีของทุกปี โครงการปฏิบัติธรรมนอกสถานที่ของคณะ ๑๔ วัดชนะสงคราม กรุงเทพมหานคร โดยพระมหาใจ เขมจิตโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม จะจัดกิจกรรมไปปฏิบัติธรรมนอกสถานที่ ซึ่งได้ดำเนินการมาเป็นเวลากว่า ๕ ปีแล้ว

ปีนี่ก็เช่นเดียวกัน ได้มีกำหนดการไปปฏิบัติธรรมประจำปี ๒๕๖๑ ที่มหาจุฬาอาศรม อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา มีกำหนด ๗ วัน นับตั้งแต่วันที่  ๙ - ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑

ที่อาศรมมหาจุฬา โครงการนี้เคยไปปฏิบัติครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๗ จึงทำให้ทุกคนส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกับสถานที่ กับพระวิทยากรเป็นอย่างดี

หลังไม่ได้ไปมานานกว่า ๕ ปี ปรากฎว่าสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาไปอย่างมาก ศาลที่เคยไม่มีอะไร ก็กลายเป็นสถานที่ใหญ่โอ่โถง มีพระปฏิมาองค์ใหญ่ ตั้งตระหง่าน เป็นที่เคารพบูชา



วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๗.๐๐ นาฬิกา รถตู้จำนวน ๒ คัน ออกเดินทางจากวัดชนะสงคราม ไปตามเส้นทางปิ่นเกล้า-ถนนวงแหวน- วังน้อย -สระบุรี- ถึงหมวกเล็ก-มหาจุฬาอาศรม ถึงเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ นาฬิกา หลังจากจัดเก็บสัมมภาระแล้ว ไปทานอาหารกลางวันข้างนอก มีกำหนดเริ่มปฏิบัติธรรมเวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา มพิธีเปิดโดยรองเจ้าอาวาสสำนักปฏิบัติธรรมมหาจุฬาอาศรม ได้ให้โอวาทธรรม เสร็จแล้วทำพิธีบวชเนกขัมมะ พระวิทยากรบรรายธรรม และเริ่มปฏิบัติธรรมถึงเวลา ๑๖.๓๐ นาฬิกา

 มีกำหนดการ เดินจงกรม จำนวน ๑ ชั่วโมง และ นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง สลับกันไป เสร็จแล้ว แผ่เมตตา ก็เป็นเสร็จสิ้่นในช่วงบ่าย
 เวลา ๑๗.๐๐ น. มีกิจกรรมทำความสะอาดสถานที่ และดื่มนำ้ปานะ

เวลา ๑๘.๐๐ น. ทำวัตร์เย็น และสวดมนต์บทที่สำคัญ เป็นเวลา ๑ ชั่วโมง หลังจากนั้นพระวิทยากรจะบรรยายธรรมให้ข้อแนะนำในการปฏิบัติ และสอบถามปัญหา

ภาคค่ำเริ่มปฏิบัติเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง และนั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง จนถึงเวลา ๒๑.๐๐ นาฬิกา แผ่เมตตา และแยกกันเข้าที่พัก



                                                      ทำวัตรเย็น และสวดมนต์ภาคค่ำ



                                                      ผู้ปฏิบัติธรรมร่วมกันทำความสะอาด